คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6930/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ที่ระบุให้ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้นั้น มิได้มีบทบัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรงความมุ่งหมายที่สำคัญคือให้ที่ดินถูกล้อมอยู่นั้นมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น ได้ความว่าหากโจทก์ผ่านที่ดินของจำเลย โจทก์สามารถไปตามทางจนในที่สุดถึงทางสาธารณะได้ เช่นนี้ที่ดินของจำเลยย่อมเป็นทางจำเป็นแม้จะฟังว่าเมื่อผ่านที่ดินของจำเลยแล้วจะต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นอีก แต่บุคคลอื่นซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงอื่นก็มิได้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อโต้แย้งสิทธิของโจทก์คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าเจ้าของที่ดินแปลงอื่นยินยอมให้โจทก์ผ่านหรือไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงเดียวกัน และที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินในที่ดินที่แบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350
ที่ดินของจำเลยเป็นถนนซอยเชื่อมกับถนนสายอื่นในหมู่บ้าน รถยนต์สามารถแล่นเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ขอผ่านเป็นทางจำเป็นซึ่งเป็นทางที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุดและเกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด เพราะที่ดินของจำเลยมีสภาพเป็นถนนเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยภายในหมู่บ้านผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ส่วนความจำเป็นของโจทก์ผู้มีสิทธิจะผ่านนั้น แม้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องทางจำเป็น ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ มิได้จำกัดให้ใช้เฉพาะทางเดินด้วยเท้าแต่อย่างเดียว ทั้งตามสภาพความจำเป็นของคนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ย่อมต้องมีรถยนต์เป็นยานพาหนะ ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยรื้อรั้วในที่ดินของจำเลย เพื่อเปิดเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์กว้างแปลงละ 3.5 เมตร จึงเหมาะสมแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 121701และเลขที่ 121702 ที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ จำเป็นต้องผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 121703 ของจำเลยเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นโดยรื้อรั้วลวดหนามในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 121703 ที่ปิดกั้นที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 121701 จากมุมทางด้านทิศตะวันออกไปทางด้านทิศตะวันตก กว้าง 3.5 เมตร และรื้อรั้วลวดหนามที่ปิดกั้นที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 121702 จากมุมทางด้านทิศตะวันตกไปทางด้านทิศตะวันออก กว้าง 3.5 เมตร ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่รื้อให้โจทก์เป็นผู้รื้อโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 121703 ของจำเลยมิได้อยู่ติดทางสาธารณะ โจทก์จะต้องผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ที่ดินของบุคคลอื่นอีกหลายแปลงจึงจะออกสู่ทางสาธารณะได้ และหากศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วลวดหนามก็รื้อได้ไม่เกิน 1 เมตร ทั้งต้องให้จำเลยเป็นผู้กำหนดว่าจะรื้อรั้วลวดหนามบริเวณใดเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นโดยรื้อรั้วลวดหนามในที่ดินของจำเลยโฉนดที่ดินเลขที่ 121703 ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรีที่ปิดกั้นที่ดินของโจทก์โฉนดที่ดินเลขที่ 121701 จากมุมทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินไปทางด้านทิศตะวันตก กว้าง 3.5 เมตร และรื้อรั้วลวดหนามที่ปิดกั้นที่ดินของโจทก์โฉนดที่ดินเลขที่ 121702 จากมุมทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินไปทางด้านทิศตะวันออกกว้าง 3.5 เมตร คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า ที่ดินของจำเลยไม่ติดทางสาธารณะโจทก์จะออกสู่ทางสาธารณะต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นอีกหลายแปลง ซึ่งไม่ยินยอมให้โจทก์ใช้เป็นทางผ่าน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องบุคคลอื่นที่ไม่ยินยอมให้โจทก์ผ่านที่ดินโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์นั้นเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่า เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ เห็นได้ว่า กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายที่สำคัญคือให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่นั้นมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น กรณีแห่งคดีนี้ได้ความว่าหากโจทก์ผ่านที่ดินของจำเลย โจทก์สามารถไปตามทางจนในที่สุดถึงทางสาธารณะได้เช่นนี้ที่ดินของจำเลยย่อมเป็นทางจำเป็น แม้จะฟังว่าเมื่อผ่านที่ดินของจำเลยแล้ว จะต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นอีก แต่บุคคลอื่นซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงอื่นก็มิได้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อโต้แย้งสิทธิของโจทก์คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า เจ้าของที่ดินแปลงอื่นยินยอมให้โจทก์ผ่านหรือไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงเดียวกัน และที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินในที่ดินที่แบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1350 ฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ได้

ที่จำเลยฎีกาในข้อสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยรื้อรั้วเพื่อเปิดเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์กว้างแปลงละ 3.5 เมตร รวม 2 แปลง กว้าง 7 เมตร เกินความจำเป็นที่โจทก์จะต้องใช้ ทำให้จำเลยเสียหายนั้น เห็นว่า ที่ดินของจำเลยตามแผนที่เอกสารหมาย จ.9 เป็นถนนซอยเชื่อมกับถนนสายอื่นในหมู่บ้าน รถยนต์สามารถแล่นเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ขอผ่านเป็นทางจำเป็นเป็นทางที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุดและเกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด เพราะที่ดินของจำเลยมีสภาพเป็นถนนเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ส่วนความจำเป็นของโจทก์ผู้มีสิทธิจะผ่านนั้น แม้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องทางจำเป็น ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ มิได้จำกัดให้ใช้เฉพาะทางเดินด้วยเท้าแต่อย่างเดียวทั้งตามสภาพความจำเป็นของคนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ย่อมต้องมีรถยนต์เป็นยานพาหนะฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยรื้อรั้วในที่ดินของจำเลย เพื่อเปิดเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์กว้างแปลงละ 3.5 เมตร เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share