แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนแม้คำขอท้ายฟ้องกลับขอให้ริบเฮโรอีนซึ่งเป็นคนละชนิดกันแต่เมื่อตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่2(พ.ศ.2522)เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522เฮโรอีนหมายรวมถึงเกลือใดๆของเฮโรอีนด้วยเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนก็คือเฮโรอีนและเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกันฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนแม้ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนแต่เมื่อเฮโรอีนหมายรวมถึงเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนด้วยเฮโรอีนและเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จึงเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกันมิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนจำนวน 1 หลอด น้ำหนัก 0.60 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าวโดยขายให้แก่สิบตำรวจตรีปกรณ์ อุ่นเต็มใจ ผู้ล่อซื้อในราคา 500 บาทโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 67, 102ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 ริบเฮโรอีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง มาตรา 66 วรรคหนึ่งให้จำคุก 6 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี ริบเฮโรอีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาประการแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ปัญหานี้แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2536 เวลากลางวันจำเลยได้บังอาจมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนจำนวน 1 หลอด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 0.60 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วตามวันเวลาดังกล่าวข้างต้น จำเลยได้บังอาจจำหน่ายยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน โดยขายให้แก่สิบตำรวจตรีปกรณ์ อุ่นเต็มใจ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตเหตุเกิดที่ตำบลสระแก้ว อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรีขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 15, 66, 67, 102 และริบเฮโรอีนของกลาง” เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด รวมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆอีกทั้งบุคคลและสิ่งของซึ่งเป็นเฮโรอีนที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์กับเฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษคนละชนิดกัน คำบรรยายฟ้องระบุว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนแต่คำขอท้ายฟ้องกลับขอให้ริบเฮโรอีนซึ่งเป็นคนละชนิดกันจึงคลุมเครือไม่ชัดเจน จำเลยไม่เข้าใจข้อหานั้น ก็ได้ความตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 ว่า เฮโรอีนหมายรวมถึงเกลือใด ๆ ของเฮโรอีนด้วยฉะนั้น เฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนก็คือเฮโรอีนนั่นเองและเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่คลุมเครือและชัดเจนแล้ว จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการที่สองมีว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญและจำเลยหลงต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองหรือไม่ ปัญหานี้แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเช่นกัน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ในปัญหาดังกล่าวจำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีน แต่ตามฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษคนละชนิดกัน จึงแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ และจำเลยหลงต่อสู้ นั้น เห็นว่า เฮโรอีนหมายรวมถึงเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนด้วย จึงเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกัน จึงมีได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน