คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3085/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัพย์ที่ได้มีการย้าย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น หาได้มีข้อจำกัดเฉพาะทรัพย์ที่เจ้าหนี้พึงจะยึดถือหรืออายัดไว้ไม่ แต่หมายถึงทรัพย์สินใด ๆ ของลูกหนี้ที่มีอยู่ได้มีการย้าย ซ่อนเร้นหรือโอนไปเพียงเพื่อเจตนามิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน และแม้ลูกหนี้จะยังมีทรัพย์อย่างอื่นเหลืออยู่ แต่ไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ ก็ไม่ใช่เหตุที่จะอ้างเพื่อให้พ้นจากการกระทำอันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษา ศาลได้ออกหมายบังคับคดีและแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ แล้ว ต่อมาจำเลยสมคบกันโดยจำเลยที่ ๑ ด้วยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ ไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินรวม ๘ โฉนดให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยทั้งสามทราบถึงหนี้ที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระตามคำพิพากษาแก่โจทก์แล้วแต่มีเจตนาทุจริตกระทำการโอนที่ดินดังกล่าวเพื่อมิให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ จึงขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำอันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ว่า “ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสียซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” ตามบทบัญญัติดังกล่าวแสดงไว้แจ้งชัดถึงทรัพย์ที่ได้มีการย้ายซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นนั้น หาได้มีข้อจำกัดเฉพาะที่เจ้าหนี้พึงจะยึดถือหรืออายัดดังจำเลยอ้างไม่ หากแต่หมายถึงทรัพย์สินใด ๆ ของลูกหนี้ที่มีอยู่ได้มีการย้าย ซ่อนเร้นหรือโอนไปเพียงเพื่อเจตนามิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ก็ย่อมเข้าข่ายแห่งการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้ แม้จำเลยที่ ๑ จะยังมีทรัพย์อย่างอื่นเหลืออยู่ซึ่งได้แก่ใบหุ้นและที่ดินก็ตาม แต่ทรัพย์สินที่ยังเหลืออยู่ข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างวินิจฉัยต้องกันว่าเป็นทรัพย์สินที่เหลืออยู่น้อยไม่อาจชำระหนี้แก่โจทก์ได้ ดังนี้ จึงไม่ใช่เหตุจะอ้างเพื่อให้พ้นจากการกระทำอันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้ เมื่อการกระทำของจำเลยผู้ฎีกาทั้งสองทำให้โจทก์ไม่อาจได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ ไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยผู้ฎีกาทั้งสอง โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔) มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานนี้ได้
พิพากษายืน

Share