คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6926/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบ ป.อ. มาตรา 80, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 16 ปี และปรับ 85,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 รวมจำคุก 18 ปี 6 เดือน และปรับ 85,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยสถานหนักนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 16 ปี และปรับ 850,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 18 ปี 6 เดือน และปรับ 850,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2) (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง), 66 วรรคหนึ่ง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 16 ปี และปรับ 850,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 รวมจำคุก 18 ปี 6 เดือน และปรับ 850,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยสถานหนักนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงว่าจำเลยได้ร่วมกับนายศักดิ์สิทธิ์ กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 410 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทพลากร และจ่าสิบตำรวจสมใจ ผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความตรงกันว่า เมื่อใช้สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจนจับจำเลยได้แล้วสอบถามจำเลยถึงเรื่องเมทแอมเฟตามีนว่านำมาจากที่ใด จำเลยยอมรับว่าได้ออกเงิน 40,000 บาท ให้นายศักดิ์สิทธิ์ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อนำมาจำหน่ายและขณะนี้นายศักดิ์สิทธิ์รออยู่ที่หน้าวัดหลวงปรีชากูลซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่จับกุมจำเลยประมาณ 300 เมตร พยานทั้งสองกับพวกจึงตามไปจับนายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งยืนอยู่หน้าวัดหลวงปรีชากูลได้ตรงตามที่จำเลยบอกแล้วทำการตรวจค้นตัว พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 400 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกางเกงชั้นในที่สวมอยู่ สอบถามนายศักดิ์สิทธิ์ยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีน จำนวน 400 เม็ด นี้ ได้นำเงินจากจำเลยไปซื้อที่ตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยรับค่าจ้างจากจำเลยครั้งละประมาณ 3,000 บาท เห็นว่า พยานโจทก์ผู้จับกุมทั้งสองปากเป็นประจักษ์พยานเบิกความได้สอดคล้องตรงกัน ไม่มีพิรุธ ทั้งเป็นการปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและไม่เคยรู้จักหรือมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือและยังสอดคล้องตรงกับข้อเท็จจริงตามบันทึกการจับกุม อีกทั้งนายศักดิ์สิทธิ์ก็ให้การในชั้นจับกุมตรงกันว่า นายศักดิ์สิทธิ์นำเงินของจำเลยไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจริง ประกอบกับโจทก์มีพันตำรวจตรีสรวิศหรือสถิตย์ พนักงานสอบสวนเบิกความสอดคล้องตรงกันอีกปากว่า ชั้นสอบสวนจำเลยและนายศักดิ์สิทธิ์ให้การรับสารภาพตามคำให้การของจำเลย ทั้งจำเลยและนายศักดิ์สิทธิ์ได้พาพนักงานสอบสวนไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ จึงเป็นหลักฐานสนับสนุนให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงและน่าเชื่อยิ่งขึ้นส่วนที่นายศักดิ์สิทธิ์มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้กลับเบิกความว่า เงินที่เอาไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 40,000 บาท เป็นเงินของนายศักดิ์สิทธิ์เองที่ได้จากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและนำไปฝากไว้กับจำเลย นายศักดิ์สิทธิ์ไปเอาคืนมาเพื่อไปซื้อเมทแอมเฟตามีนเองโดยที่จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น เห็นว่า นายศักดิ์สิทธิ์มีอาชีพรับจ้างเป็นช่างทาสี เงินจำนวน 40,000 บาท นั้น หากพิจารณาถึงฐานะอาชีพดังกล่าวต้องถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก จึงไม่น่าเชื่อว่านายศักดิ์สิทธิ์จะมีเงินจำนวนมากไปฝากไว้กับจำเลยทั้งที่เป็นเพียงคนรู้จักกันธรรมดา คำเบิกความของนายศักดิ์สิทธิ์จึงส่อเป็นข้อพิรุธไม่น่าเชื่อ ทั้งยังเป็นพฤติการณ์ที่ส่อไปในทำนองช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด และในขณะเดียวกันที่จำเลยและนายศักดิ์สิทธิ์อ้างว่าเงินจำนวน 40,000 บาท ที่นายศักดิ์สิทธิ์ฝากไว้ จำเลยทราบว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่จำเลยยังกล้ารับฝากเพื่อแลกกับการที่นายศักดิ์สิทธิ์ยอมให้เสพเมทแอมเฟตามีนและในบางครั้งก็สามารถเอาเงินที่ฝากไปใช้สอยได้บ้างเล็กน้อยโดยที่นายศักดิ์สิทธิ์ยินยอม รวมทั้งเมทแอมเฟตามีนที่นายศักดิ์สิทธิ์มอบให้จำเลยไว้ขาย เมื่อขายได้แล้วจำเลยสามารถนำเงินไปใช้ได้ในบางครั้ง แสดงว่าจำเลยมีอำนาจในการขายและรับผลประโยชน์เช่นเดียวกับนายศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่านายศักดิ์สิทธิ์มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าไม่ได้ร่วมกับนายศักดิ์สิทธิ์มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 410 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายศักดิ์สิทธิ์กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อีกกระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 16 ปี และปรับ 850,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี 8 เดือน และปรับ 566,666.66 บาท เมื่อรวมกับโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้วคงจำคุก 12 ปี 8 เดือน และปรับ 566,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share