แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องอ้างว่าซื้อรถยนต์คันพิพาทมาจากจำเลยที่ 2 โดยตกลงจะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อที่เหลือให้บริษัทผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วน แต่ปรากฏว่าผู้ที่ลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อในหนังสือสัญญาซื้อรถยนต์ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้แจ้งให้บริษัทผู้ให้เช่าซื้อทราบและดำเนินการเปลี่ยนให้ผู้ร้องเป็นผู้เช่าซื้อแทน ทั้งใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีและหนังสือยืนยันการชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนก็ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อหาใช่ผู้ร้องชำระไม่ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าซื้อนำรถยนต์คันพิพาทมาขายแก่ผู้ร้อง และผู้ร้องชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนดังที่กล่าวอ้าง ดังนั้น รถยนต์คันพิพาทยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งระงับการทำนิติกรรมทางทะเบียนของรถยนต์คันพิพาท ไม่ถือว่าผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิในทรัพย์ที่มีการบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 135,192.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 3,024 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ดำเนินการบังคับคดีและแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงนายทะเบียนขนส่งกรุงเทพมหานคร ขอให้ระงับการทำนิติกรรมเกี่ยวกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร เป็นการชั่วคราวเพื่อจะได้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวมาขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งห้ามทำนิติกรรมเกี่ยวกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร
โจทก์ให้การขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งระงับการทำนิติกรรมทางทะเบียนเกี่ยวกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และผู้ร้องให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 135,192.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงนายทะเบียนขนส่งกรุงเทพมหานครความว่า หากจำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อทางทะเบียนเป็นผู้ครอบครองเปลี่ยนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร ขอให้ระงับการทำนิติกรรมทางทะเบียนของรถยนต์คันดังกล่าว ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ ผู้ร้องมีเพียงนายกฤตพัฒน์ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความว่า จำเลยที่ 2 นำรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเช่าซื้อมาจากบริษัทจีอี แคปปิตอล ออโต้ลีส จำกัด (มหาชน) มาขายให้แก่ผู้ร้องในราคา 250,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ร้องต้องชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 2 จำนวน 40,000 บาท ส่วนเงินค่าเช่าซื้อที่เหลืออีก 210,000 บาท ผู้ร้องต้องชำระเงินให้แก่บริษัทจีอี แคปปิตอล ออโต้ลีส จำกัด (มหาชน) และผู้ลงลายมือชื่อผู้ซื้อเป็นพนักงานของผู้ร้องตามหนังสือสัญญาซื้อรถยนต์ ผู้ร้องได้รับส่วนลดเงินค่าเช่าซื้อที่เหลือจากบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ลีส จำกัด (มหาชน) จึงชำระเงินให้เพียง 191,707.71 บาท ตามใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษี บริษัทจีอี แคปปิตอล ออโต้ลีส จำกัด (มหาชน) ได้มอบสมุดคู่มือจดทะเบียน หลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนและหนังสือยืนยันการชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้อง ตามแบบคำขอโอนและรับโอน กับหนังสือยืนยันการชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วน เห็นว่า ผู้ที่ลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อในหนังสือสัญญาซื้อรถยนต์ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้ร้อง นอกจากนี้ผู้ร้องก็ไม่ได้มีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทจีอี แคปปิตอล ออโต้ลีส จำกัด (มหาชน) ผู้ให้เช่าซื้อให้ทราบว่าผู้ร้องรับช่วงสิทธิของจำเลยที่ 2 มาเพื่อให้บริษัทดังกล่าวรับทราบไว้และดำเนินการเปลี่ยนให้ผู้ร้องเป็นผู้เช่าซื้อแทนจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด อีกทั้งตามใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และหนังสือยืนยันการชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อ หาใช่ผู้ร้องเป็นผู้ชำระไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าซื้อนำรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร ซึ่งถูกอายัดมาขายให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อที่เหลือให้แก่บริษัทจีอี แคปปิตอล ออโต้ลีส จำกัด (มหาชน) จนครบถ้วนแล้วดังผู้ร้องกล่าวอ้าง ดังนั้น รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร ยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้นายทะเบียนขนส่งกรุงเทพมหานครระงับการทำนิติกรรมทางทะเบียนของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ฮ – 3742 กรุงเทพมหานคร ไม่ถือว่าผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิในทรัพย์ที่มีการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องที่ว่าคำร้องของผู้ร้องมิใช่การร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 แต่อย่างใด เนื่องจากไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.