คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6922/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นฐานแห่งสัญญาจำนองนั้น ผู้ร้องมิได้มีส่วนได้เสียเกี่ยวพันด้วย ที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนองและรับช่วงภาระการจำนองมาด้วยก็เป็นความเกี่ยวพันรับผิดชอบหลังจากผลพิพาทในมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยอีกชั้นหนึ่ง ดังนี้ผู้ร้องยังไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องในผลแห่งคดีที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกันในส่วนที่เกี่ยวกับมูลหนี้กู้ยืมในคดีนี้ จึงไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 11,541,660บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 53390 นำออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ถ้าไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นชดใช้จนครบถ้วนจำเลยให้การต่อสู้คดี คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา

ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่า มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี เนื่องจากผู้ร้องมีสิทธิที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จำเลยจำนองโจทก์ โดยติดจำนองไปด้วย หากศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนองเกินความเป็นจริงจะทำให้ผู้ร้องได้รับผลในคดีด้วย ผู้ร้องจึงขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนองผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียในมูลหนี้หรือผลแห่งคดีดังกล่าว และคดีไม่สะดวกที่จะให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จึงยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นฐานแห่งสัญญาจำนองนั้น ผู้ร้องมิได้มีส่วนได้เสียเกี่ยวพันด้วยแต่ประการใด ดังนั้น ที่ผู้ร้องอ้างว่าได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนองและรับช่วงภาระการจำนองมาด้วยจึงเป็นความเกี่ยวพันรับผิดชอบหลังจากผลพิพาทในมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยอีกชั้นหนึ่งดังนี้ในชั้นนี้ผู้ร้องยังไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องในผลแห่งคดีที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกันในส่วนที่เกี่ยวกับมูลหนี้กู้ยืมในคดีนี้ จึงไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)

พิพากษายืน

Share