คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำให้การจำเลยไม่มีประเด็นเรื่องจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทของโจทก์แล้วหรือไม่ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์แล้วโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1ปีจึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้และนอกเหนือจากประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 66 หมู่ที่ 7 ตำบลแหลมบัวอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 5 ตารางวาโดยโจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกับบุคคลอื่นอีก 6 คน จำเลยปลูกบ้าน2 หลัง ในที่ดินดังกล่าว คือ บ้านเลขที่ 13 กับบ้านอีกหลังหนึ่งไม่มีเลขที่โดยจำเลยขออาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินเดินมานานประมาณ 30 ปีแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของจึงให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินเป็นเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวาต่อมาโจทก์กับพวกซึ่งเป็นเจ้าของประสงค์จะรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินและแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม จำเลยคัดค้านการรังวัดที่ดินอ้างว่าโจทก์กับพวกรังวัดที่ดินรุกล้ำที่ดินของจำเลยทำให้โจทก์กับพวกเสียหาย ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในที่ดินอีกต่อไปจึงบอกกล่าวขับไล่ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินดังกล่าวแต่จำเลยเพิกเฉย การที่จำเลยขัดขวางการรังวัดที่ดินทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถออกโฉนดที่ดินและแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ได้กับต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรังวัดที่ดินไปมากขอเรียกค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน 10,000 บาท และการที่จำเลยไม่ยอมรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดิน ขอเรียกค่าเสียหายส่วนนี้เดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ขอให้บังคับจำเลยมิให้ขัดขวางการรังวัดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 66ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ให้ขับไล่จำเลยและบริวารโดยรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท และเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เช่าที่ดินของโจทก์ สัญญาเช่าตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม ที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยครอบครองเป็นที่สาธารณประโยชน์จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองต่อจากนางเรียน ไม่ทราบนามสกุล เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 33 ปีเศษแล้ว โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิในที่ดินพิพาทได้ดีกว่าจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 13 กับบ้านไม่มีเลขที่อีกหนึ่งหลัง ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลแหลมบัวอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ออกไปจากที่ดินพิพาท ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 ห้ามจำเลยขัดขวางการรังวัดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 66 ตำบลแหลมบัวอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 6,000 บาท กับให้ใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 100 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไปเสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า โจทก์ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเพราะไม่ได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่ถูกจำเลยแย่งการครอบครองเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำให้การของจำเลยหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยปลูกบ้านอยู่ในเขตที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 66ที่โจทก์เป็นเจ้าของร่วม โดยจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์กับพวกมีกำหนดระยะเวลาการเช่า 1 ปี เมื่อวันที่23 พฤษภาคม 2529 ต่อมากลางปี 2530 โจทก์ยื่นคำขอรังวัดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 66 ดังกล่าวเพื่อออกโฉนดที่ดิน เจ้าหน้าที่ที่ดินได้มาทำการรังวัด แต่ไม่สามารถรังวัดได้เพราะจำเลยคัดค้าน หลังจากนั้นโจทก์ได้ยื่นเรื่องขอรังวัดที่ดินดังกล่าวอีกหลายครั้งแต่จำเลยคัดค้าน จึงไม่สามารถทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวได้ขอให้บังคับจำเลยมิให้ขัดขวางการรังวัดที่ดินและขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยให้การเพียงว่า จำเลยไม่ได้เช่าที่ดินโจทก์สัญญาเช่าที่ดินท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา มา 33 ปีเศษ โดยจำเลยครอบครองต่อจากนางเรียนไม่ทราบนามสกุล ที่ดินที่จำเลยครอบครองตามฟ้องโจทก์เป็นที่สาธารณประโยชน์จำเลยได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวเพื่อตนเองจำเลยไม่ได้อาศัยที่ดินโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจรังวัดเข้ามาในที่ดินที่จำเลยครอบครอง ดังนี้ตามคำให้การจึงไม่มีประเด็นเรื่องจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทของโจทก์แล้วหรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์แล้ว โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้และนอกเหนือจากประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังกล่าว ไม่ชอบ ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ส่วนประเด็นในเรื่องค่าเสียหายนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมิได้วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนเห็นว่าการที่จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยไม่มีสิทธิจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน6,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไปเสร็จสิ้น จึงเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว
ศาลอุทธรณ์กลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share