คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6922/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คผู้ถือให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขายลดแก่ธนาคารถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คธนาคารผู้ซื้อเช็ค เรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คไม่ได้ จึงได้หักจากบัญชีของโจทก์ ตามจำนวนเงินในเช็คแล้วมอบเช็คคืนแก่โจทก์ โจทก์จึงกลับเป็นผู้ทรงเช็คตามกฎหมาย และได้ทวงถามจำเลยให้ชำระเงินตามเช็คแล้วจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คจะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย อันเป็นข้ออ้างให้จำเลยรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989 กับมีคำขอบังคับครบถ้วน สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาอย่างไรเมื่อใด และไม่ได้บรรยายถึงวันที่โจทก์เข้ายึดถือเช็คและใช้เงินตามเช็คนั้น ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์ที่สมบูรณ์แล้วกลับเป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาถนนตากสิน ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2530 จำนวนเงิน140,000 บาท ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปขายลดให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาท่าพระ แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารเรียกเก็บเงินไม่ได้ จึงหักเงินในบัญชีของโจทก์ชำระหนี้พร้อมกับคืนเช็คแก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็ค ได้ทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้เงินตามเช็คแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินตามเช็คและดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง จำนวน 152,459 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงิน 140,000 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายและฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินจำนวน 140,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน10,459 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า “คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์บรรยายคำฟ้องไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและมอบเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คที่สั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์นำเช็คพิพาทไปขายลดแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาท่าพระ ถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็ค ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาท่าพระ เรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คไม่ได้ จึงได้หักเงินจากบัญชีของโจทก์ไปตามจำนวนเงินในเช็คแล้วมอบเช็คพิพาทคืนแก่โจทก์ โจทก์จึงกลับเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตามกฎหมาย และได้ทวงถามจำเลยให้ชำระเงินตามเช็คแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า จำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คจะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเมื่อธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายอันเป็นข้ออ้างให้จำเลยรับผิดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989 นั่นเอง กับได้มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินครบถ้วนสมบูรณ์ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายในคำฟ้องว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาอย่างไร เมื่อใด ตลอดจนไม่ได้บรรยายถึงวันที่โจทก์เข้ายึดถือเช็คและใช้เงินตามเช็คนั้น ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ที่สมบูรณ์แล้ว กลับเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่สภาพแห่งข้อหาที่กฎหมายบังคับให้ต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง
พิพากษายืน

Share