คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2842/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นคำร้องที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีอย่างหนึ่ง ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 7 (2) บัญญัติให้เสนอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีตามมาตรา 302 และตามบทบัญญัติมาตรา 302 วรรคหนึ่ง ศาลที่มีอำนาจออกหมายบังคับคดีหรือมีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดี คือศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น ดังนั้น ศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้จึงได้แก่ศาลชั้นต้น ผู้ร้องต้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลชั้นต้น มิใช่ยื่นต่อศาลที่บังคับคดีแทน ทั้งมาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติหลักเกณฑ์เพียงว่า การขอเฉลี่ยทรัพย์นั้นอย่างช้าที่สุดต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องก่อนวันที่มีการขายทอดตลาดได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,276,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานี ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 17119 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4251/2543 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 6,074,410 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่ผู้ร้อง จำเลยไม่มีทรัพย์สินที่ผู้ร้องจะนำยึดมาบังคับชำระหนี้ได้เนื่องจากเจ้าหนี้อื่นรวมทั้งโจทก์ยึดไว้หมดแล้ว ทรัพย์สินอื่นที่เหลือล้วนติดจำนองและหนี้จำนองท่วมราคาทรัพย์สิน ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลย
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบเนื่องจากศาลชั้นต้นเป็นศาลที่มีคำพิากษาหรือศาลที่ออกหมายบังคับคดีเท่านั้นมิใช่ศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินคือศาลจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตศาล ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ก่อนวันขายทอดตลาดเพราะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่ ซึ่งบัญญัติให้ยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาดสิทธิในการขอเฉลี่ยทรัพย์เกิดขึ้นนับแต่วันที่มีการขายทอดตลาด ก่อนการขายทอดตลาดผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิ จำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องสามารถบังคับคดีได้ แม้จะเป็นทรัพย์สินที่ติดจำนอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินได้
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาตตามคำร้องของโจทก์ที่ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่เมื่อผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องดังกล่าวแล้วไม่คัดค้าน และศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา ถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลชั้นต้น ทั้งยื่นคำร้องดังกล่าวก่อนวันขายทอดตลาดนั้น เป็นการชอบหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวโจทก์ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำคัดค้านไว้แล้ว แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย เมื่อโจทก์ยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์และคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ซึ่งน่าจะหมายถึงศาลจังหวัดปทุมธานี เพราะเป็นศาลที่ควบคุมดูแลการขายทอดตลาด ย่อมทราบวันขายทอดตลาดและทราบว่าคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ยื่นก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาดหรือไม่ เป็นทำนองว่าผู้ร้องต้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีนั้น เห็นว่า คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นคำร้องที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีอย่างหนึ่งซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (2) บัญญัติให้เสนอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีตามมาตรา 302 และตามบทบัญญัติมาตรา 302 วรรคหนึ่ง ศาลที่มีอำนาจออกหมายบังคับคดีหรือมีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดี คือศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น ดังนั้น ศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 วรรคหนึ่ง สำหรับคดีนี้จึงได้แก่ศาลชั้นต้น ส่วนศาลจังหวัดปทุมธานีเป็นเพียงศาลที่บังคับคดีแทน การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ก่อนวันที่มีการขายทอดตลาด เพราะมาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติให้ยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาด ก่อนการขายทอดตลาด สิทธิในการขอเฉลี่ยทรัพย์จึงยังไม่เกิดมีขึ้นนั้น มาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติหลักเกณฑ์เพียงว่า การขอเฉลี่ยทรัพย์นั้นอย่างช้าที่สุดต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาด มิได้ห้ามมิให้ยื่นคำร้องก่อนวันที่มีการขายทอดตลาด ทั้งสิทธิของผู้ร้องที่จะขอเฉลี่ยทรัพย์ก็เกิดมีขึ้นตั้งแต่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หาใช่ยังไม่มีสิทธิดังกล่าวก่อนวันที่มีการขายทอดตลาดไม่ คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องจึงไม่ขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
อนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share