คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6905/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ค่าขาดแรงงานนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445ประกอบมาตรา 1567(1),(3) หากบิดาหรือมารดาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองได้มอบหน้าที่ให้บุตรทำการงานอันใดอันหนึ่งในครัวเรือนแล้วปรากฏว่ามีบุคคลใดทำละเมิดต่อบุตรซึ่งมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้แก่บิดามารดาจนถึงแก่ความตาย ผู้ทำละเมิดจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคือค่าขาดแรงงานในครัวเรือนให้แก่บิดามารดาที่ต้องขาดแรงงานอันนั้นด้วย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชีวิต กิจสวัสดิ์ ผู้ตายซึ่งถูกจำเลยที่ 1ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 1ฌ-4140 ของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังโดยขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและมึนเมาสุรา พุ่งเข้าชนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 5ฌ-2844 ที่ผู้ตายขับมา เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 5ฌ-2844 พังยับเยินและผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสอง1,476,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เหตุเกิดเพราะผู้ตายขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 5ฌ-2844 ด้วยความประมาทเลินเล่อใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและเป็นที่น่าหวาดเสียวโจทก์ทั้งสองไม่อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นค่าขาดแรงงานเพราะผู้ตายไม่เคยช่วยเหลือโจทก์ทั้งสองในกิจการงานค้าขาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร1ฌ-4140 ได้มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้ปฏิบัติงานในหน้าที่แต่เหตุไม่ได้เกิดขึ้นในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ทำงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ทั้งเหตุเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของผู้ตายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน530,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาสุดท้ายมีว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดแรงงานหรือไม่ เพียงใด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 บัญญัติว่า “ในกรณีทำให้เขาถึงตาย ฯลฯถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือน หรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย”และมาตรา 1567 บัญญัติว่า “ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิ (1) ฯลฯ(3) ให้บุตรทำการงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูป (4) ฯลฯ”ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่า หากบิดาหรือมารดาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองได้มอบหน้าที่ให้บุตรทำการงานอันใดอันหนึ่งในครัวเรือนแล้วปรากฎว่ามีบุคคลใดทำละเมิดต่อบุตรซึ่งมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้แก่บิดามารดาจนถึงแก่ความตาย ผู้ทำละเมิดจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคือค่าขาดแรงงานในครัวเรือนให้แก่บิดามารดาที่ต้องขาดแรงงานอันนั้นด้วย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดแรงงานดังกล่าว เพราะถือว่าแรงงานบุตรทำให้บิดาหรือมารดาก็คือการอุปการะเลี้ยงดูอย่างหนึ่ง เท่ากับเป็นการฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะนั่นเอง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการฟ้องเรียกค่าขาดแรงงานดังกล่าวมิใช่การฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสาม ซึ่งเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตรานี้มีความมุ่งหมายว่าหากมีการทำละเมิดจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย บิดาหรือมารดาของผู้ตายก็ชอบที่จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะได้ตามกฎหมายโดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ตายจะมีรายได้หรือได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาหรือไม่ก็ตาม แต่จากคำเบิกความของโจทก์ทั้งสองได้ความว่าขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่โจทก์ทั้งสองได้ให้ผู้ตายช่วยดำเนินกิจการของบริษัทวีรา เคมีคัลส์และปราบศัตรูพืช จำกัด ที่โจทก์ทั้งสองได้จัดตั้งขึ้น และโจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ดังนี้ เห็นว่า บริษัทวีวา เคมีคัลส์และปราบศัตรูพืชจำกัด เป็นนิติบุคคลต่างหากจากโจทก์ทั้งสอง การที่ผู้ตายช่วยดำเนินกิจการของบริษัทวีวา เคมีคัลส์และปราบศัตรูพืช จำกัดจะถือว่าผู้ตายช่วยดำเนินกิจการของโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่ และเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสองต้องจ้างบุคคลภายนอกมาทำงานแทนผู้ตายก็เป็นการจ้างมาทำงานให้แก่บริษัทวีวา เคมีคัลส์และปราบศัตรูพืช จำกัด ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ต้องขาดแรงงานบริษัทวีวา เคมีคัลส์และปราบศัตรูพืช จำกัด ก็คือบุคคลที่ต้องขาดแรงงาน หาใช่โจทก์ทั้งสองไม่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าขาดแรงงานจากจำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดค่าขาดแรงงานให้โจทก์ทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองรวมเป็นเงิน 770,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share