คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6902/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีคู่ความมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วน ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องพร้อมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลครั้งแรก อ้างว่าเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าต้องใช้เอกสารการประเมินภาษีเพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมศาล ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในวันถัดมาว่า ให้โจทก์เสนอหลักฐานการประเมินภาษีเพื่อประกอบการคำนวณทุนทรัพย์ในการเสียค่าขึ้นศาลมาภายใน 5 วัน แล้วจะพิจารณาสั่ง แสดงให้เห็นว่า สาเหตุที่โจทก์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาล เนื่องจากโจทก์ยังไม่ทราบจำนวนเงินค่าธรรมเนียมศาลที่จะต้องชำระให้ถูกต้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลเป็นครั้งที่สองอ้างว่า โจทก์ได้ไปติดตามเอกสารจากสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เชียงใหม่แล้ว ได้รับแจ้งว่าต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน ย่อมเป็นอำนาจของศาลภาษีอากรกลางที่จะพิจารณาว่ามีเหตุจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะขยายระยะเวลาส่งเอกสารตามที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนด ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 19 หรือไม่ ซึ่งหากเห็นว่าเป็นกรณีที่ไม่มีความจำเป็นที่จะขยายระยะเวลาส่งเอกสารให้แก่โจทก์ ก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรเสียก่อน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง และทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลภาษีอากรกลางต้องพิจารณาจากหนังสือแจ้งการประเมินแต่ละฉบับ คดีนี้ทุนทรัพย์ที่ปรากฏในหนังสือแจ้งการประเมิน 43,927,464.47 บาท แต่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้องโจทก์ทั้งสองฉบับและมีคำสั่งไม่รับฟ้องพร้อมกันไปในวันเดียวกัน โดยโจทก์ไม่มีเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลได้ ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจงใจขัดขืนไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมศาล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเป็นเงิน 43,927,464.47 บาท ตามหนังสือของจำเลย เลขที่ กค 606801/3559 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ 1/2556 และเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของโจทก์ที่ 1/2555, 871/2555, 1083/2555
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลครั้งแรก ลงวันที่ 2 กันยายน 2556 อ้างว่า คดีนี้จะต้องคำนวณค่าธรรมเนียมศาลให้เป็นที่แน่นอนก่อนโดยเจ้าพนักงานศาล จึงขอขยายระยะเวลาวางเงิน 30 วัน ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า ให้โจทก์เสนอหลักฐานการประเมินภาษีตามแบบแจ้งการประเมินเพื่อประกอบการคำนวณทุนทรัพย์ในการเสียค่าขึ้นศาลมาภายใน 5 วัน แล้วจะพิจารณาสั่งคำร้องฉบับนี้ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลครั้งที่ 2 ลงวันที่ 10 กันยายน 2556 อ้างว่า โจทก์จะต้องไปขอคัดถ่ายที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เชียงใหม่เนื่องจากเอกสารที่โจทก์สูญหายไป ไม่สามารถนำส่งได้ทันตามกำหนด จึงขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลออกไปอีก 60 วัน ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาตามคำร้องของโจทก์ฉบับแรก โดยให้โจทก์เสนอแบบแจ้งการประเมินมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลาตามคำร้องฉบับนี้ ยกคำร้องและศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งคำร้องโจทก์ฉบับแรกในวันเดียวกันว่า โจทก์ไม่ได้เสนอหลักฐานต่อศาลภายในเวลาที่ศาลกำหนด จึงให้ยกคำร้อง และศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในคำฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ไม่ได้ชำระค่าขึ้นศาลและไม่ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการชำระค่าขึ้นศาล จึงไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า วันที่ 2 กันยายน 2556 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาล 30 วัน ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในวันถัดมาว่า ให้โจทก์เสนอหลักฐานการประเมินภาษีตามแบบแจ้งการประเมินเพื่อประกอบการคำนวณทุนทรัพย์ในการเสียค่าขึ้นศาลมาภายใน 5 วัน แล้วจะพิจารณาสั่ง แต่โจทก์มิได้ยื่นเอกสารภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2556 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลครั้งที่ 2 อ้างว่า โจทก์ต้องไปขอคัดถ่ายที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เชียงใหม่ เนื่องจากเอกสารที่โจทก์สูญหายไป จึงขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลออกไปอีก 60 วัน ซึ่งศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาตามคำร้องของโจทก์ฉบับแรก โดยให้โจทก์เสนอแบบแจ้งการประเมินมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลาตามคำร้องฉบับนี้ ยกคำร้องและมีคำสั่งในคำร้องฉบับแรกของโจทก์ว่า โจทก์ไม่ได้เสนอหลักฐานต่อศาลภายในเวลาที่กำหนด จึงให้ยกคำร้อง หลังจากนั้นศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งในคำฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ไม่ได้ชำระค่าขึ้นศาลและไม่ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาล จึงไม่รับฟ้อง
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่อาจชำระค่าธรรมเนียมศาลได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าต้องใช้เอกสารการประเมินภาษีทุกเดือนพิพาทตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2546 ถึงเดือนกันยายน 2553 โจทก์จึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลออกไปก่อน ต่อมาโจทก์ไปขอเอกสารจากสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เชียงใหม่ แต่ได้รับแจ้งว่าต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน โจทก์จึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาออกไปอีกครั้งเป็นกรณีพิเศษ โดยโจทก์มิได้มีพฤติการณ์ประวิงคดีหรือหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาลนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า กรณีที่คู่ความมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วน ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลครั้งแรกเป็นเวลา 30 วัน โดยอ้างว่าจะต้องคำนวณค่าธรรมเนียมศาลให้แน่นอนก่อน ศาลภาษีอากรกลางมิได้มีคำสั่งในวันที่โจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าวแต่มีคำสั่งในวันถัดมาว่า ให้โจทก์เสนอหลักฐานการประเมินภาษีตามแบบแจ้งการประเมินเพื่อประกอบการคำนวณทุนทรัพย์ในการเสียค่าขึ้นศาลมาภายใน 5 วัน แล้วจะพิจารณาสั่ง แสดงให้เห็นว่า สาเหตุที่โจทก์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาล สืบเนื่องมาจากโจทก์ยังไม่ทราบจำนวนเงินค่าธรรมเนียมศาลที่จะต้องชำระให้ถูกต้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลออกไปอีกครั้งเป็นเวลา 60 วัน แม้ศาลภาษีอากรกลางจะยกคำร้องฉบับแรกเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่เสนอเอกสารการประเมินภาษีต่อศาลภายในเวลาที่กำหนด แต่จากเหตุผลคำร้องโจทก์ฉบับที่สองดังกล่าวที่อ้างว่าโจทก์ได้ไปติดตามเอกสารจากสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่เชียงใหม่แล้วได้รับแจ้งว่าต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อนนั้น ย่อมเป็นอำนาจของศาลภาษีอากรกลางที่จะพิจารณาว่ามีเหตุจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะขยายระยะเวลาส่งเอกสารตามที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนด ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 หรือไม่ ซึ่งหากเห็นว่าเป็นกรณีที่ไม่มีความจำเป็นที่จะขยายระยะเวลาส่งเอกสารให้แก่โจทก์ ศาลภาษีอากรกลางก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง และทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลภาษีอากรกลางต้องพิจารณาจากหนังสือแจ้งการประเมินรวมกันและคดีนี้เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินฉบับเดียว เป็นเงิน 43,927,464.47 บาท โจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลจากทุนทรัพย์ที่ปรากฏในหนังสือแจ้งการประเมินจำนวน 43,927,464.47 บาท แต่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้องโจทก์ทั้งสองฉบับและมีคำสั่งไม่รับฟ้องพร้อมกันไปในวันเดียวกัน โดยโจทก์ไม่มีเวลาที่จะชำระค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลได้ ตามพฤติการณ์ของโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์ไม่มีเจตนาจงใจขัดขืนไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมศาล จึงควรให้โอกาสแก่โจทก์ในอันที่จะนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระเสียให้ครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่โจทก์ที่มิได้จงใจที่จะไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาล ดังนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์เสียทีเดียวโดยมิได้ให้โอกาสโจทก์ก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลภาษีอากรกลางและให้ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมศาลจากทุนทรัพย์ จำนวน 43,927,464.47 บาท ให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่เห็นสมควรเสียก่อน แล้วจึงดำเนินการสั่งคำฟ้องโจทก์ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share