แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่มีผลทำให้อำนาจหน้าที่โจทก์ที่มีอยู่ในกิจการและทรัพย์สินของโจทก์สิ้นสุดลงเช่นอย่างคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย เพียงแต่มีผลให้อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของผู้บริหารของโจทก์สิ้นสุดลงตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/20 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ทนายความที่โจทก์แต่งตั้งไว้แล้วโดยชอบก่อนศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ ย่อมมีสิทธิยื่นฎีกาแทนโจทก์ ฎีกาที่ยื่นจึงมิใช่ฎีกาที่ไม่ชอบอันจะมีผลให้คำพิพากษาศาลฎีกาไม่ผูกพันจำเลย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน 7,081,807.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 5,604,244.74 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ โจทก์ฎีกาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2552 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,953,549.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา โดยกำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้ 50,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่จำเลย
วันที่ 21 มีนาคม 2556 จำเลยยื่นคำร้องว่า ขณะโจทก์ยื่นฎีกาวันที่ 12 มกราคม 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 และตั้งนายวรายุทธ์ เป็นผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2549 ตามคดีหมายเลขแดงที่ 4403/2549 ของศาลล้มละลายกลาง ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2549 โจทก์ไม่มีอำนาจติดตามหนี้และฟ้องคดีนี้ซึ่งมูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ คำฟ้องฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาไม่ผูกพันจำเลย ขอให้มีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจบังคับคดีตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2552 ซึ่งอยู่ในระหว่างที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์จะมีผลให้คำพิพากษาศาลฎีกาไม่ผูกพันจำเลยหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์หาได้มีผลทำให้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในกิจการและทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการนั้นสิ้นสุดลงเช่นอย่างคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายไม่ เพียงมีผลให้อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของผู้บริหารของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้สิ้นสุดลงตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/20 วรรคหนึ่ง และตามบทบัญญัติดังกล่าวยังให้ศาลมีคำสั่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนหรือผู้บริหารของลูกหนี้เป็นผู้บริหารชั่วคราว มีอำนาจหน้าที่จัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จนกว่าจะมีการตั้งผู้ทำแผน ส่วนมาตรา 90/39 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 เป็นเพียงบทบัญญัติกำหนดวิธีปฏิบัติภายหลังเมื่อมีผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนแล้ว ในกรณีที่ปรากฏว่าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดชำระหนี้หรือส่งมอบทรัพย์สินแก่ลูกหนี้และบุคคลนั้นไม่ได้รับว่าเป็นหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง ก็ให้ผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนนั้นแจ้งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อดำเนินการเท่านั้น ดังนั้น ทนายความที่โจทก์แต่งตั้งไว้แล้วโดยชอบก่อนศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์ ย่อมมีสิทธิยื่นฎีกาแทนโจทก์ อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาแทนคู่ความได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคู่ความนั้น ฎีกาที่ยื่นจึงมิใช่เป็นฎีกาที่ไม่ชอบอันจะมีผลให้คำพิพากษาศาลฎีกาไม่ผูกพันจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลย มีผลเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี จึงต้องมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งเสียด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาและในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ