คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2536 ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์เซ็นชื่อรับทราบให้มาฟังคำสั่งในวันที่29 ตุลาคม 2536 โดยหากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ยอมรับผูกพันตนเองว่าจะมาฟังคำสั่งในวันดังกล่าว ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม 2536ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาของโจทก์ให้รับฎีกาและให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายใน 5 วัน แม้โจทก์มิได้มาฟังคำสั่งก็ต้องถือว่าได้ส่งคำสั่งให้โจทก์ทราบโดยชอบ และโจทก์ทราบคำสั่งแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2536 เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่จัดการนำส่งสำเนาฎีกาในกำหนดจึงเป็นการท้องฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้บังคับจำเลยส่งมอบเครื่องจักรจำนวน 16 เครื่อง ที่จำเลยขายฝากแก่โจทก์แต่เครื่องจักรยังคงอยู่ในความครอบครองของจำเลยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2536 ในฎีกาของโจทก์หน้าแรกมีข้อความซึ่งประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่าให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2536 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว โดยมีลายมือชื่อผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ให้ยื่นฎีกาเซ็นไว้ ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2536 ว่า โจทก์ยื่นฎีกาภายในเวลาที่ขอขยาย รับเป็นฎีกาของโจทก์สำเนาให้จำเลยให้โจทก์นำส่งภายใน 5 วัน พ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้ว ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนมาศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาให้โจทก์ซึ่งเป็นโจทก์ในชั้นฎีกาด้วยจัดการนำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายใน 5 วัน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งในวันหลังจากที่โจทก์ยื่นฎีกา 5 วันก็ตาม แต่การที่ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ลงชื่อรับทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่งของศาลชั้นต้นดังที่กล่าวมาแล้วเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ยอมรับผูกพันตนเองว่าจะมาฟังคำสั่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2536 ถ้าไม่มาก็ให้ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งแล้ว นอกจากนี้ยังปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งดังกล่าวในฎีกาตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2536 ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะถึงวันที่กำหนดให้โจทก์มาทราบคำสั่งฉะนั้น แม้โจทก์จะมิได้มาฟังคำสั่ง ก็ต้องถือว่าคำสั่งศาลนั้นได้ส่งให้โจทก์ทราบโดยชอบและโจทก์ทราบคำสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2536 ระยะเวลาสิ้นสุดที่โจทก์จะต้องนำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นคือวันที่ 3 พฤศจิกายน 2536 แต่ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2536 ว่า โจทก์เพิกเฉยไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งซึ่งก็คือมิได้จัดการนำส่งสำเนาฎีกาในกำหนดนั้น จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)
ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลฎีกา

Share