คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โรงเรือนส่วนที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 10 ต้องเป็นโรงเรือนส่วนที่เจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาและมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบกิจการอุตสาหกรรม โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทเป็นนิติบุคคล มีฐานะ สิทธิและหน้าที่ของตนต่างหากจากบุคคลธรรมดา และมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือที่ตั้งที่ทำการอันเป็นสถานประกอบการเป็นที่อยู่ แม้ ว. จะเป็นผู้แทนของโจทก์ แต่ก็เป็นบุคคลธรรมดา การที่ ว. อยู่อาศัยในตึกแถวพิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอยู่เองที่จะไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2538 มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 และวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ภ.ร.ด.2) ประจำปีภาษี 2545 และ 2546 ตามลำดับ ต่อมาโจทก์ได้รับใบแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ภ.ร.ด.8) ให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นเงินภาษีปีละ 117,245 บาท โจทก์ชำระเงินค่าภาษีจำนวนดังกล่าวแล้วและยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่โดยขอให้ลดค่าภาษีประจำปีภาษี 2545 ลง จำนวน 11,345 บาท และปีภาษี 2546 ลดลง 12,595 บาท เพราะบางส่วนของโรงเรือนใช้เป็นที่พักอาศัยของผู้แทนโจทก์ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 แต่จำเลยมีคำชี้ขาดให้ยืนตามการประเมิน โจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินกับคำวินิจฉัยชี้ขาดของจำเลยดังกล่าวไม่ถูกต้อง ทำให้โจทก์ต้องชำระภาษีเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขอให้เพิกถอนการประเมินตามใบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด.8) เล่มที่ 6 เลขที่ 11 ลงวันที่ 19 เมษายน 2545 และเล่มที่ 5 เลขที่ 5 ลงวันที่ 18 เมษายน 2546 ใบแจ้งคำชี้ขาดเล่มที่ 2 เลขที่ 35 และเล่มที่ 3 เลขที่ 10 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 ให้จำเลยคืนเงิน 26,279.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 23,940 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โรงเรือนรายพิพาทตามฟ้องโจทก์นำพื้นที่บางส่วนออกให้เช่าเป็นการใช้ประกอบการค้าตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ พื้นที่ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ได้นำออกให้เช่าและให้กรรมการของโจทก์อยู่อาศัย จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลย 1,000 บาท ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนางวิภาดา โอภาเฉลิมพันธุ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนซึ่งเป็นตึกแถว 4 ชั้น 2 คูหา และเป็นที่ตั้งสถานประกอบการของโจทก์ ปีภาษี 2545 โจทก์นำตึกแถวให้บริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด เช่าชั้นล่างและชั้นลอยบางส่วนเพื่อประกอบการค้า ชั้นล่างและชั้นลอยส่วนที่เหลือจากการให้เช่าและชั้นสองกับชั้นสามโจทก์ให้นางวิภาดากับครอบครัวอยู่อาศัยโดยไม่คิดค่าเช่า ส่วนชั้นสี่ปิดไม่ได้ใช้ ปีภาษี 2546 โจทก์นำตึกแถวให้บริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด เช่าชั้นล่างและชั้นลอยบางส่วนเพื่อประกอบการค้า กับให้บริษัทโอบราเดอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (2530) จำกัด เช่าชั้นล่างบางส่วน ชั้นล่างและชั้นลอยส่วนที่เหลือจากการให้เช่าและชั้นสองกับชั้นสามโจทก์ให้นางวิภาดากับครอบครัวอยู่อาศัยโดยไม่คิดค่าเช่า ส่วนชั้นสี่ปิดไม่ได้ใช้ โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2545 และ 2546 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินค่ารายปีพื้นที่ชั้นล่างและชั้นลอยส่วนที่โจทก์ไม่ได้ให้เช่า และชั้นสองกับชั้นสามที่โจทก์ให้นางวิภาดากับครอบครัวอยู่อาศัยโดยไม่คิดค่าเช่า แล้วแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2545 และ 2546 ให้โจทก์ชำระเป็นเงินปีละ 117,285 บาท โจทก์ชำระเงินค่าภาษีตามการประเมินและยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินทั้งสองปีภาษี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ชี้ขาดยืนตามการประเมิน โจทก์จึงฟ้องคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พื้นที่ของตึกแถวพิพาทส่วนที่โจทก์ให้นางวิภาดากับครอบครัวอยู่อาศัยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 หรือไม่ เห็นว่า บทกฎหมายมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า “โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา และซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรม ท่านให้งดเว้นจากบทบัญญัติแห่งภาคนี้ตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นไป” โรงเรือนส่วนที่จะได้รับยกเว้นจึงต้องเป็นโรงเรือนส่วนที่เจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาและมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบกิจการอุตสาหกรรม โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทเป็นนิติบุคคล มีฐานะ สิทธิและหน้าที่ของตนต่างหากจากบุคคลธรรมดา และมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือที่ตั้งที่ทำการอันเป็นสถานประกอบการเป็นที่อยู่ แม้นางวิภาดาจะเป็นผู้แทนของโจทก์ แต่ก็เป็นบุคคลธรรมดา การที่นางวิภาดาอยู่อาศัยในตึกแถวพิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอยู่เองตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475″
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

Share