คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง โดยตั้งข้อหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยรับในข้อหารับของโจร ศาลแขวงสั่งคดีมีมูล ประทับฟ้องฐานรับของโจร ส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ไม่ประทับฟ้อง โจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านประการใด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร โจทก์ก็แถลงไม่สืบพยาน ดังนี้คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้อีก โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีการับฟ้องฐานลักทรัพย์อีกด้วย ข้อฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 214,15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1) ต้องยกฎีกาโจทก์เสีย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรและพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากผู้ปกครอง ชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยรับในข้อหารับของโจรและฐานพรากเด็ก ศาลแขวงพระนครเหนือสั่งประทับฟ้องเฉพาะความผิด 2 ฐานนี้แล้ว ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพนักงานอัยการเห็นว่า ความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลแขวงมิได้พิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงฟ้องต่อศาลอาญา ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และฐานพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครอง ศาลอาญารับฟ้องเฉพาะความผิดฐานรับของโจรและฐานพรากเด็ก

จำเลยรับสารภาพ โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน

ศาลอาญาพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ให้จำคุก 1 ปี กระทงหนึ่ง มาตรา 317 ให้จำคุก 1 ปี อีกกระทงหนึ่ง ลดฐานรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงลงโทษทั้งสองกระทง รวม 1 ปี

โจทก์อุทธรณ์ ขอให้รับฟ้องฐานลักทรัพย์ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอาญาประทับฟ้องเฉพาะความผิดฐานรับของโจรฯลฯ ส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ไม่รับประทับฟ้อง โจทก์ก็มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านประการใด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรโจทก์ก็ไม่โต้แย้งหรือคัดค้าน โจทก์กลับแถลงไม่สืบพยานดังนี้ คดีไม่มีทางที่จะลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้อีก ข้อฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดี อาศัยอำนาจตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 214,15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1) พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share