แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยทั้งสองด้วยข้อหาว่าต่างขับรถจักรยานยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ตามรูปคดีเช่นนี้ พยานโจทก์นั่งมาในรถคันใดอาจจะเบิกความสมอ้างข้างฝ่ายรถคันที่ตนนั่งและแตกต่างกับพยานโจทก์ปากอื่นก็ได้ หาใช่ว่าพยานโจทก์บางปากเบิกความขัดกับพยานปากอื่นแล้วจะทำลายน้ำหนักคำพยานปากอื่นให้ไม่ควรรับฟังเสียทั้งหมดไม่ แต่ศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักคำพยานหลักฐานทั้งหมดในสำนวนแล้วพิเคราะห์ว่าคำเบิกความของพยานปากใดควรเชื่อฟังในข้อใดหรือไม่ เพียงใดเพราะเหตุใดที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าคำให้การของพยานโจทก์ขัดกันเอง จึงทำให้รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยฝ่ายใดประมาทนั้นจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองต่างขับรถจักรยานยนต์ด้วยความประมาท ทำให้รถชนกันโดยแรง เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ นายสมใจ คนเที่ยง ได้รับบาดเจ็บสาหัส และนางน้ำทิพย์ สว่างโลกหรือตุ้มปีและนางสาวสมจิตร ตุ้มปี ได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ และถึงแก่ความตายตามลำดับขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๑๕๗ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๔
จำเลยทั้งสองต่างให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงโทษปรับ และจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๓ ปี สำหรับจำเลยที่ ๒ ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐ และ ๓๙๐ ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฎีกาโจทก์ข้อที่ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ โดยพิจารณาว่า คำให้การของพยานโจทก์ขัดกันเองจึงทำให้รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยฝ่ายใดประมาทนั้นไม่ชอบเสียก่อน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใจความว่าตามคำนางน้ำทิพย์และนายสมใจ พยานโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังและชนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับ แต่กลับได้ความตามคำพระภิกษุประยูรพยานโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับรถตามหลังและชนท้ายรถคันที่จำเลยที่ ๒ ขับ แตกต่างขัดกันในสาระสำคัญเป็นสองนัยอย่างตรงกันข้ามจะฟังว่า รถสองคันชนกันเพราะจำเลยทั้งสองประมาทหรือคนใดคนหนึ่งประมาทไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยทั้งสองด้วยข้อหาต่างขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสองย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ตามรูปคดีเช่นนี้พยานโจทก์ที่นั่งมาในรถคันใดอาจจะเบิกความสมข้างฝ่ายรถคันที่ตนนั่งและแตกต่างกับพยานโจทก์ปากอื่นก็ได้ หาใช่ว่าพยานโจทก์บางปากเบิกความขัดกับพยานปากอื่นแล้วจะทำลายน้ำหนักคำพยานปากอื่นให้ไม่ควรรับฟังเสียทั้งหมดไม่ แต่ศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักคำพยานหลักฐานทั้งหมดในสำนวนแล้วพิเคราะห์ว่าคำเบิกความของพยานปากใดควรเชื่อฟังในข้อใดหรือไม่ เพียงใดเพราะเหตุใด ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วยกับเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษายืน.