คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3136/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงินในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คที่มีผู้นำไปทำสัญญาขายลดเช็คให้แก่โจทก์เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 จะนำบทบัญญัติเกี่ยวกับเอกเทศสัญญาอื่นมาใช้บังคับแก่จำเลยไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คจำนวน 11 ฉบับ ไปทำสัญญาขายลดแก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้รวม 7 ฉบับ เช็คฉบับที่ 1 ถึงที่ 4 มีผู้มีชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย เช็คฉบับที่ 5 และที่ 6 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่าย และฉบับที่ 7 มีจำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่าย โดยจำเลยที่ 1 สัญญาว่าถ้าโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยินยอมชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี แก่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามเช็คทั้ง 7 ฉบับ พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาแก่โจทก์จนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดตามจำนวนเงินในเช็คที่จำเลยแต่ละคนสั่งจ่ายพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า เช็คของจำเลยที่ 2 ที่ 3ไม่มีมูลหนี้ เมื่อมีการทำสัญญาขายลดเช็คแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ชำระเงินตามเช็คดังกล่าว ขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,286,119.16 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีในต้นเงิน 1,090,000บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับ คือวันที่ 9 และ 14 มกราคม 2527 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องที่จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดต้องไม่เกิน 22,345.89 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 3ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค คือวันที่ 23 มกราคม 2527 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องที่จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต้องไม่เกิน14,835.61 บาท ตามที่โจทก์ขอ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การจำเลยและตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 จำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.9 ส่วนจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวเป็นผู้นำเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.7 จ.8 และ จ.9 ไปขายลดแก่โจทก์ตามสัญญาขายลดเช็ค เอกสารหมาย จ.3 เมื่อเช็คพิพาทแต่ละฉบับถึงกำหนดชำระแล้ว โจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทแต่ละฉบับโดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่ายบ้างและยังไม่มีการตกลงกับธนาคารบ้าง ตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.15ถึง จ.17
ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2ที่ 3 ให้รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท เพราะสัญญาขายลดเช็คระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่ง โจทก์ต้องฟ้องจากจำเลยที่ 1 เท่านั้น โจทก์จะนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 หาได้ไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2ที่ 3 ชำระหนี้ตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน ดังนั้นจะนำบทบัญญัติเกี่ยวกับเอกเทศสัญญาอื่นมาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาไม่ได้ ต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 ซึ่งบัญญัติว่า บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณารับฟังได้ว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ชำระเงินตามเช็คพิพาทที่แต่ละคนเป็นผู้สั่งจ่ายพร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเหล่านั้นแต่ละฉบับ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share