คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6869/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ขาดประจักษ์พยานที่รู้เห็นการข่มขู่ในขณะเจรจาแต่พยานหลักฐานประกอบเหตุการณ์หลังจากเจรจาอันได้แก่บันทึกและเช็คที่ตรวจค้นและยึดได้จากจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาซึ่งสอดคล้องตรงกันกับที่โจทก์ร่วมได้ให้การไว้เป็นข้อสนับสนุนให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า คำของโจทก์ร่วมที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนนั้นตรงตามความเป็นจริงจำเลยที่ 1 เองก็ไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยรับสารภาพชั้นจับกุมตามข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานตำรวจที่แจ้งแก่จำเลยที่ 1 หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์ร่วมแล้ว ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพตลอดข้อหาตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1ไม่สามารถหักล้างได้

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้ากับคดีหมายเลขแดงที่ 936/2539 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกจำเลยทั้งสองในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 936/2539 ว่าจำเลยที่ 3 แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ คดีคงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309, 310, 337, 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายปธาน ธนทรัพย์ไพศาล ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก, 337 วรรคแรก, 83 กระทงหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา 337 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก, 83 อีกกระทงหนึ่ง จำคุกกระทงแรก 3 ปี กระทงหลัง 9 เดือนรวม 3 ปี 9 เดือน คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1มีว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์รับฟังคำพยานบอกเล่าลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นการไม่ชอบ คำให้การโจทก์ร่วมชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสซักค้านหรือโต้แย้ง เป็นคำพยานที่ไม่ควรรับฟัง โจทก์มิได้นำโจทก์ร่วมมาเบิกความ โจทก์มีแต่พันตำรวจโทณรงค์ หุ่นดี พนักงานสอบสวนเบิกความเพียงว่าโจทก์ร่วมมาแจ้งความว่าจำเลยที่ 1 กับพวกจับโจทก์ร่วมขึ้นรถยนต์ไปเจรจาตกลงเรื่องหนี้ตามเช็ค 60,000,000 บาท ที่ผึ้งหวานรีสอร์ทจังหวัดกาญจนบุรี โจทก์ร่วมพบจำเลยที่ 3 เจรจาให้โจทก์ร่วมชำระเงิน ในที่สุดตกลงให้โจทก์ร่วมผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ 500,000บาท พันตำรวจโทณรงค์เป็นพยานบอกเล่ารับฟังไม่ได้ร้อยตำรวจเอกสุรชัย เก็งทอง ผู้จับกุมจำเลยที่ 1 ก็เป็นพยานที่รู้เห็นเฉพาะการจับกุมจำเลยที่ 1 ส่วนบันทึกข้อตกลงกับเช็คที่ตรวจค้นได้จากจำเลยที่ 1 จะมีความเป็นมาอย่างไรร้อยตำรวจเอกสุรชัยหาได้ทราบไม่ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ว่ากระทำความผิดคดีนี้ เห็นว่าแม้โจทก์ไม่อาจนำโจทก์ร่วมประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่จากการแจ้งความของโจทก์ร่วมเป็นผลให้มีการสอบปากคำโจทก์ร่วมจนได้ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ร่วมให้การและจากคำให้การของโจทก์ร่วมเป็นเหตุต่อเนื่องให้มีการจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมบันทึกข้อตกลงและเช็คที่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 3 เจรจาตกลงกัน ซึ่งสอดคล้องตรงตามคำให้การโจทก์ร่วมคำให้การของโจทก์ร่วมจึงมีน้ำหนัก การที่โจทก์ร่วมถูกคนร้ายคุมตัวไปกักขังที่ผึ้งหวานรีสอร์ท และจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่กรุงเทพมหานครเดินทางไปเจรจาหนี้สินที่ผึ้งหวานรีสอร์ท และร่วมอยู่รู้เห็นขณะมีการเจรจาหนี้สินกันเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่ามีการนัดแนะกันมาก่อนและบ่งบอกได้ว่าการเจรจามิได้กระทำไปด้วยความสมัครใจของโจทก์ร่วม เพราะหากโจทก์ร่วมสมัครใจเจรจาด้วยก็ไม่มีเหตุผลจะต้องเดินทางไปเจรจากันถึงจังหวัดกาญจนบุรีที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่า โจทก์ร่วมได้ทำบันทึกตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ด้วยความสมัครใจเพื่อเป็นหลักฐานว่าไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ก็ยังเห็นได้ในทางตรงกันข้ามเพราะหากการเจรจาเป็นไปตามปกติ ก็ไม่มีเหตุผลต้องทำบันทึกดังกล่าวขึ้นโดยเฉพาะบันทึกตามเอกสารหมาย จ.7 มีข้อความเน้นย้ำว่าโจทก์ร่วมทำหนังสือนี้ไว้ให้จำเลยที่ 1 เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและโจทก์ร่วมเขียนจดหมายนี้ด้วยมือของโจทก์ร่วมเองโดยความเต็มใจยิ่งทำให้เห็นได้ว่าการที่จัดให้มีบันทึกดังกล่าวก็เพื่อจะใช้เป็นหลักฐานกลบเกลื่อนการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวก คดีนี้แม้ขาดประจักษ์พยานที่รู้เห็นการข่มขู่ในขณะเจรจา แต่พยานหลักฐานประกอบเหตุการณ์หลังจากเจรจาอันได้แก่บันทึกตามเอกสารหมาย จ.6และ จ.7 และเช็คที่ตรวจค้นและยึดได้จากจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาซึ่งสอดคล้องตรงกันกับที่โจทก์ร่วมได้ให้การไว้ เป็นข้อสนับสนุนให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า คำของโจทก์ร่วมที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนนั้นตรงตามความเป็นจริง จำเลยที่ 1 เองก็ไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยรับสารภาพชั้นจับกุมตามข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานตำรวจที่แจ้งแก่จำเลยที่ 1 หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์ร่วมแล้ว ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1ก็ให้การรับสารภาพตลอดข้อหาตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4 พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ไม่สามารถหักล้างได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share