แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วย กฎหมาย ที่ดินและบ้านพิพาทมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ และติดจำนองธนาคารเป็น ประกันหนี้เงินกู้จำนวน 1,000,000 บาท ต่อมา จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินกับบ้าน ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ราคา 1,300,000 บาท ปัญหาจึงมีว่าคำพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ที่วินิจฉัยว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จะมีผลผูกพันและใช้ยันจำเลยที่ 2ได้หรือไม่ และโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ซึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง(2)บัญญัติว่าคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์ที่จะต้องแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่สามารถพิสูจน์แสดงสิทธิที่ดีกว่าได้ คำพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางดังกล่าว ย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 รู้จักคุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาเป็นเวลานานนับ 10 ปี โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้แนะนำให้โจทก์รู้จักจำเลยที่ 1 จนกระทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองประกอบธุรกิจด้วยกัน โจทก์อาศัยอยู่ในบ้านที่พิพาทเพียงลำพังคนเดียวและใช้บ้านพิพาทเป็นที่ตั้งบริษัทประกอบธุรกิจของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ออกไปอาศัยอยู่ที่อื่นต่างหากและจำเลยทั้งสองได้พูดคุยเกี่ยวกับการฟ้องหย่ากับโจทก์จึงมีเหตุผลเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ทราบถึงฐานะและความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มาโดยตลอดและทราบว่าโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทมาโดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2จึงไม่อาจอ้างได้ว่าตนมีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์คำพิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจึงผูกพันจำเลยที่ 2การที่จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 1โดยโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย จึงเป็นการรับโอนโดย ไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขาย ที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์และจำเลยที่ 1ร่วมกันซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ยักย้ายถ่ายเทสินสมรสดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้มีการซื้อขายกันจริง หากแต่เป็นการโอนเปลี่ยนชื่อเพื่อไม่ให้โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมได้รับส่วนแบ่งจากสินสมรสดังกล่าว ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ลงในโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเช่นเดิม หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และหากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้โอนกลับคืนได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาที่ดิน 2,000,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงสามารถทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนในราคา 1,300,000 บาทให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 เชื่อโดยสนิทว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยทั้งสองกระทำเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน 2536 ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ลงในโฉนดที่ดินเช่นเดิม หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากไม่สามารถโอนกลับคืนได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ 2,000,000 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดินและบ้านพิพาทมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และติดจำนองธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ เป็นประกันหนี้เงินกู้จำนวน 1,000,000 บาทเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2536 จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินกับบ้านดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ราคา 1,300,000 บาทคดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า คำพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในคดีหมายเลขดำที่ 1161/2536หมายเลขแดงที่ 102/2538 ที่วินิจฉัยว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จะมีผลผูกพันและใช้ยันจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยทั้งสองหรือไม่ที่ดินและบ้านพิพาทมีราคาเท่าไร ในปัญหาข้างต้นเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสองบัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอกเว้นแต่ และในข้อต่อไปนี้
(1) ฯลฯ
(2) คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
จำเลยที่ 2 จึงมีภารการพิสูจน์ที่จะต้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์ หากจำเลยที่ 2ไม่สามารถพิสูจน์แสดงสิทธิที่ดีกว่าได้ คำพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ด้วยจำเลยที่ 2 เบิกความว่า การจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายจึงมีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์ จึงเห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่า การโอนที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2รู้จักโจทก์และจำเลยที่ 1 มาประมาณ 10 ปีแล้ว ก่อนที่โจทก์จะแต่งงานกับจำเลยที่ 1 และทราบดีว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1เป็นสามีภริยากัน โดยเมื่อปี 2529 โจทก์และจำเลยทั้งสองเคยไปเที่ยวงานสโมสรอินเติร์กแฮปปี้ ที่พัทยาและพักอยู่ที่เดียวกันที่บ้านพี่ชายของจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ถึง 3 วัน จำเลยที่ 2ก็เบิกความรับว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 พักอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนจำเลยที่ 2 พักอีกห้องหนึ่ง และจำเลยทั้งสองเคยเป็นหุ้นส่วนทำร้านขายดอกไม้ด้วยกัน โจทก์ซื้อบ้านพิพาทตกแต่งแล้วเข้าอยู่อาศัยโดยลำพังคนเดียวเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไปพักอาศัยอยู่กับผู้อื่น จำเลยทั้งสองเคยมาเยี่ยมโจทก์ที่บ้าน และเมื่อสามีของจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 เคยมาขอใช้โทรสารที่บ้านพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทของโจทก์เพื่อติดต่อกับต่างประเทศหลายครั้ง โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยทั้งสองซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างกัน เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายความของจำเลยทั้งสองให้ออกจากบ้านพิพาทนางสาวแสงจันทร์ คำแก้วพนักงานบริษัทโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 เคยพาจำเลยที่ 2 มาที่บ้านพิพาทประมาณ 2 ถึง 3 ครั้ง และทราบว่าจำเลยทั้งสองเข้าหุ้นกันทำธุรกิจร้านขายดอกไม้ เพราะจำเลยที่ 1เคยขอให้พยานช่วยหาลูกจ้างประจำร้านดังกล่าวให้ และตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านและทนายโจทก์ถามติงว่า ได้ยินจำเลยที่ 1 บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์และพูดคุยเรื่องการดำเนินการฟ้องหย่ากับโจทก์ให้จำเลยที่ 2 ฟัง จึงแน่ใจว่าจำเลยที่ 2ต้องรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดี ซึ่งจำเลยที่ 2เบิกความรับว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 เคยไปเที่ยวที่ร้านขายสุราที่จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของด้วยกันและรับว่าเมื่อจำเลยที่ 1พาจำเลยที่ 2 ไปดูบ้านพิพาทพบโจทก์อยู่ในบ้าน และโจทก์พาจำเลยที่ 2 ไปดูห้องนอนของโจทก์ จำเลยที่ 2 เคยไปใช้โทรสารที่บ้านพิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทของโจทก์ และเคยพบเห็นพนักงานของบริษัทโจทก์เจือสมกับคำเบิกความของนางสาวแสงจันทร์พยานโจทก์เห็นว่า โจทก์มีนางสาวแสงจันทร์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยทั้งสอง และไม่มีสาเหตุบาดหมางโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงว่านางสาวแสงจันทร์จะเบิกความเข้าข้างหรือให้เป็นประโยชน์แก่โจทก์แต่ฝ่ายเดียว เชื่อว่านางสาวแสงจันทร์เบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นเกี่ยวข้องคำเบิกความของนางสาวแสงจันทร์สอดคล้องตรงกันกับคำเบิกความของโจทก์ และของจำเลยที่ 2 จึงมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือและมีน้ำหนักรับฟังมากขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 รู้จักคุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาเป็นเวลานานนับ10 ปี โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้แนะนำให้โจทก์รู้จักจำเลยที่ 1จนกระทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันตามกฎหมายเมื่อพิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของจำเลยทั้งสองที่ร่วมกันประกอบธุรกิจด้วยกันและพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งการที่โจทก์อาศัยอยู่ในบ้านที่พิพาทเพียงลำพังคนเดียวและใช้บ้านพิพาทเป็นที่ตั้งบริษัทประกอบธุรกิจของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ออกไปอาศัยอยู่ที่อื่นต่างหากและจำเลยทั้งสองได้พูดคุยเกี่ยวกับการฟ้องหย่ากับโจทก์ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ทราบถึงฐานะและความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1มาโดยตลอดและทราบว่าโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทด้วยจึงสามารถพักอาศัยและทำธุรกิจในบ้านพิพาทได้ดังกล่าวลำพังตัวจำเลยที่ 2 ที่เบิกความว่าไม่ทราบว่าที่ดินและบ้านพิพาทไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวจึงมีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักและมีเหตุผลรับฟังได้มั่นคงมากกว่ากรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเรื่องการชำระราคาหรือค่าตอบแทนที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยที่ 2 อีกต่อไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทมาโดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจอ้างได้ว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์ดังนั้น คำพิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยที่ 2 ด้วย และเมื่อฟังว่าจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสดังวินิจฉัยมาเช่นนี้ การที่จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย จึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริตโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง สำหรับปัญหาว่าที่ดินและบ้านพิพาทมีราคาเท่าใดนั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้ว่าจ้างบริษัทยูเค แวลูเอชั่น แอนด์ เอเจนซี่ จำกัด ตรวจสอบที่ดินและบ้านพิพาทเพื่อประเมินราคาทรัพย์สิน และบริษัทดังกล่าวประเมินว่าที่ดินและบ้านพิพาทมีราคา 4,500,000 บาท จำเลยที่ 2มิได้โต้แย้งราคาประเมินดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง หรือนำสืบให้เห็นว่าที่ดินและบ้านพิพาทควรมีราคาที่แท้จริงจำนวนเท่าใดจึงต้องฟังว่าที่ดินและบ้านพิพาทมีราคาตามจำนวนที่โจทก์นำสืบที่จำเลยที่ 2 อ้างเหตุผลว่าโจทก์เป็นผู้ติดต่อบริษัทดังกล่าวจึงมีความสนิทสนมเพื่อให้มีการประเมินราคาทรัพย์สูงขึ้นเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะเชื่อถือและหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน