คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6853/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าและบริวารออกจากอสังหาริมทรัพย์ตามสัญญาเช่าที่ดินพิพาทซึ่งมีค่าเช่าปีละ 30,000 บาท หรือเดือนละ 2,500 บาท อันเป็นการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท คู่ความในคดีฟ้องขับไล่เดิมจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง เมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่ในชั้นบังคับคดีอันเป็นสาขาของคดีเดิมจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง เช่นกัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2547 ให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 13628 ตำบลโพธิ์กลาง (หัวทะเล) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และห้ามจำเลยที่ 1 และบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทดังกล่าวของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โจทก์ขอบังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2547 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนด 8 วัน นับแต่วันปิดประกาศ
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยที่ 1 เพราะผู้ร้องกับโจทก์ได้ตกลงกันให้ผู้ร้องอยู่ในที่ดินตามฟ้องได้เป็นเวลา 15 ปี นับแต่ปี 2542 ครบสัญญาปี 2557 โดยโจทก์ให้ผู้ร้องสร้างบ้านเลขที่ 89 – 91 ถนนท้าวสุระ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ราคาเป็นล้านบาทลงในที่ดินตามฟ้องแล้วโจทก์ได้ตกลงรับมอบบ้านดังกล่าวไปจากผู้ร้อง เป็นการตอบแทนยิ่งกว่าการเช่า
โดยผู้ร้องไม่ต้องเสียค่าเช่า รายละเอียดปรากฏตามบันทึกภาพถ่ายโฉนด และภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนเอกสารท้ายคำร้อง ขอให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการบังคับคดีแก่ผู้ร้องด้วย (ที่ถูกขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยที่ 1)
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอเซียบัสบอดี้ราชสีมา ผู้ร้อง ไม่ใช่บริวารของจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ ให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า มีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเพียงว่า คดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้เกินกว่าเดือนละ 4,000 บาท และขณะฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวาร โจทก์ทราบว่าผู้ร้องนำที่ดินพิพาทไปให้บุคคลภายนอกเช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง ได้บัญญัติหลักเกณฑ์กรณีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาซึ่งแยกได้เป็น 2 กรณี คือ ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท และฟ้องขับไล่บุคคลอื่นนอกจากผู้เช่า เช่น ผู้อาศัยหรือผู้ละเมิดออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท คดีเดิมเป็นคดีที่โจทก์ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ผู้เช่า และบริวารออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าปีละ 30,000 บาท หรือเดือนละ 2,500 บาท ตามสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ. 4 เป็นการฟ้องขับไล่ผู้เช่าซึ่งกำหนดค่าเช่าไว้ชัดแจ้ง เมื่อค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 4,000 บาทคู่ความในคดีดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง เมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 ผู้ถูกฟ้องขับไล่ ในชั้นบังคับคดีอันเป็นสาขาของคดีเดิม จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคสอง เช่นกัน ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share