คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6849/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทมี ส. เป็นผู้มีชื่อในหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือ สทก.1 จากเจ้าพนักงานป่าไม้มีกำหนดเวลา 5 ปี แต่เมื่อ ส. ถึงแก่ความตายแล้ว ทายาทของ ส. ก็มิได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาท ส่วนจำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยซื้อมาจากน. ภรรยาของ ส. แม้จำเลยจะมิได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเพราะเป็นที่ดินที่มีหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือ สทภ.1 ก็ตาม แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันนั้น เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินแปลงพิพาทส่วนโจทก์และผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์และผู้ร้องสอดย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลย โจทก์และผู้ร้องสอดจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสวัสดิ์ บัวจันทร์ นายสวัสดิ์มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน 1 แปลง มีเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ นายสวัสดิ์ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายสงค์ กองสุข เมื่อ พ.ศ. 2524 เดิมมีเนื้อที่ทั้งหมด 30 ไร่เศษ ต่อมานายสวัสดิ์แบ่งที่ดินทางทิศเหนือให้จำเลยจำนวน 15 ไร่ ต่อมาทางราชการออกเอกสาร สทก.1 ให้นายสวัสดิ์และจำเลยพร้อมกัน เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2525 นายสวัสดิ์ถึงแก่ความตายจำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของผู้ตายซึ่งเป็นสวนมะพร้าว 15 ไร่จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2536 โจทก์ทราบว่านายสวัสดิ์มีที่ดินมรดกจำนวน 15 ไร่โจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าบุกรุกเก็บมะพร้าวในที่ดิน แต่จำเลยไม่เชื่อฟัง พร้อมทั้งขัดขวางไม่ให้โจทก์และทายาทเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถนำที่ดินดังกล่าวไปทำประโยชน์ให้กองมรดกมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า3,000 บาท นับแต่วันที่ 20 กันยายน 2536 ถึงวันฟ้องคิดเป็นค่าเสียหาย 1,500 บาทขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินมรดกของผู้ตาย ห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมรดกที่พิพาทเนื้อที่ 13 ไร่ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารขัดขวางโจทก์และทายาทในการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมรดกกับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเดือนละ 3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะหยุดบุกรุกและขัดขวางการครอบครองที่ดินมรดก

จำเลยยื่นคำให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของนายสวัสดิ์บิดาโจทก์เดิมจำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายสงค์เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ต่อมานางหนูกลิ่นบัวจันทร์ น้องสาว และนายสวัสดิ์ บัวจันทร์ น้องเขยมาขอแบ่งซื้อจำนวน 8 ไร่เศษ จำเลยตกลงแต่ยังมิได้ชำระราคาและส่งมอบการครอบครองที่ดินให้บุคคลทั้งสอง ต่อมากรมป่าไม้ได้ออกเอกสาร สทก.1 ให้จำเลยจำนวน 12 ไร่เศษ และออกให้นายสวัสดิ์จำนวน 8 ไร่เศษ หลังจากนั้นนายสวัสดิ์ถึงแก่ความตายโดยยังไม่ได้ชำระราคาค่าซื้อที่ดินแก่จำเลย นายสวัสดิ์ นางหนูกลิ่นและบริวารไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือครอบครองที่ดินดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่นายสวัสดิ์มีชื่อในเอกสาร สทก.1 เท่านั้น ต่อมาพ.ศ. 2529 นางหนูกลิ่นมีหนี้สินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและไม่มีเงินชำระหนี้ จำเลยเห็นว่าเดือดร้อนจึงชำระหนี้สินให้นางหนูกลิ่นจำนวน 9,000 บาท นางหนูกลิ่นจึงส่งมอบ สทก.1 สัญญาซื้อขาย หนังสือมอบอำนาจ ใบมรณบัตรแก่จำเลย ต่อมานางหนูกลิ่นและครอบครัวย้ายไปอยู่จังหวัดระนองจนถึงปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ไม่มีทายาทของนายสวัสดิ์ไปครอบครองที่ดินพิพาท แต่จำเลยเป็นเจ้าของสร้างบ้านเรือนเลขที่ 32 หมู่ที่ 8 บนที่พิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2525 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งปลูกพืชยืนต้นเต็มเนื้อที่ 20 ไร่เศษ และสร้างรั้วแสดงอาณาเขต ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะจำเลยครอบครองทำประโยชน์บนที่ดินพิพาทนานกว่า 10 ปี และโจทก์ไม่ได้ฟ้องร้องภายใน1 ปี นับแต่จำเลยเข้าครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภริยาของนายสวัสดิ์ ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสเมื่อนายสวัสดิ์ถึงแก่ความตายจึงต้องแบ่งฝ่ายละครึ่ง และส่วนที่เหลือเป็นมรดกซึ่งผู้ร้องมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายอีกส่วนหนึ่งด้วย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดจำนวน 7 ไร่ 2 งาน

โจทก์ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดว่า สินสมรสส่วนที่เป็นมรดกผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิได้รับ เพราะผู้ร้องสอดได้ส่วนแบ่งที่เป็นสินสมรสไปครึ่งหนึ่งแล้ว ขอให้ยกคำร้อง

จำเลยยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในที่ดินพิพาท เนื่องจากนายสวัสดิ์มิใช่เจ้าของและไม่เคยเข้ายุ่งเกี่ยวครอบครองทำประโยชน์ แต่จำเลยเป็นเจ้าของทำประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน คำร้องสอดขาดอายุความเพราะจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนานกว่า 10 ปี ผู้ร้องสอดไม่ได้ฟ้องร้องภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยเข้าครอบครอง ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกคำร้องสอด

โจทก์และผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์และผู้ร้องสอดฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือ สทก.1 มีชื่อนายสวัสดิ์ บัวจันทร์ เป็นผู้ได้รับอนุญาต นายสวัสดิ์ได้ถึงแก่ความตาย เมื่อ พ.ศ. 2525จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินแปลงพิพาทมาจนบัดนี้ โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสวัสดิ์ตามคำสั่งศาลเมื่อ พ.ศ. 2536 ผู้ร้องสอดเป็นภริยาของนายสวัสดิ์

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และผู้ร้องสอดว่า สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเป็นของนายสวัสดิ์หรือไม่ เห็นว่า นายสวัสดิ์เป็นผู้มีชื่อในหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือ สทก.1 จากเจ้าพนักงานป่าไม้ มีกำหนดเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2525 จนถึงวันที่ 29มีนาคม 2530 แต่ปรากฏว่านายสวัสดิ์ได้ถึงแก่ความตายเมื่อ พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่นายสวัสดิ์ได้หนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อนายสวัสดิ์ถึงแก่ความตายแล้ว ทายาทของนายสวัสดิ์ก็มิได้ครอบครองทำกินในที่ดินแปลงพิพาทแต่อย่างใด จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่า นายสวัสดิ์เป็นสามีนางหนูกลิ่นซึ่งเป็นน้องสาวของจำเลยนายสวัสดิ์ได้มาขอซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยแต่ยังไม่ได้ชำระเงินให้เมื่อทางราชการได้ออกหนังสือแสดงสิทธิทำกินหรือ สทก.1 แก่จำเลยและนายสวัสดิ์ ขณะนั้นนายสวัสดิ์ยังไม่ได้ชำระค่าที่ดินให้จำเลย ต่อมานายสวัสดิ์ถูกยิงตาย นางหนูกลิ่นต้องรับภาระหนี้ที่นายสวัสดิ์ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรอีกจำนวน9,000 บาทเศษ จำเลยได้ไถ่ถอนที่ดิน สทก.1 ที่นายสวัสดิ์จำนองไว้ให้นางหนูกลิ่นเจ้าหน้าที่ของธนาคารได้คืน สทก.1 หนังสือมอบอำนาจ สัญญาที่นางหนูกลิ่นรับใช้หนี้แทนนายสวัสดิ์ ทะเบียนบ้าน มรณบัตรของนายสวัสดิ์ให้แก่จำเลยรวมทั้งต้นฉบับ สทก.1หลังจากที่จำเลยไถ่ถอน สทก.1 แทนนางหนูกลิ่นแล้ว นางหนูกลิ่นได้ทำสัญญาขายที่ดินสทก.1 แก่จำเลยตามเอกสารหมาย ล.9 จำเลยได้เข้าทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมาจำเลยได้ปลูกบ้าน มะพร้าว และต้นไม้อื่น ๆ การที่นางหนูกลิ่นภริยานายสวัสดิ์ซึ่งนายธัญญะโจทก์ก็เบิกความรับว่า นางหนูกลิ่นเป็นภริยานายสวัสดิ์ด้วย ได้มอบการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทให้จำเลย และจำเลยได้เข้าครอบครองทำกินตลอดมาแม้จำเลยจะมิได้สิทธิครอบครอง แต่ระหว่างโจทก์และผู้ร้องสอดกับจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกันนั้น จำเลยครอบครองที่ดินแปลงพิพาท โจทก์และผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์และผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลย โจทก์และผู้ร้องสอดจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

พิพากษายืน

Share