คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานสังกัดกรมการสัตว์ทหารลก จำเลยที่ 1 เป็นผู้แก้เลขจำนวนของ(ผ้าสีกาดีนวล) ในต้นขั้วใบสั่งจ่าย (จาก 107 ผืนเป็น 307 ผืน) และจำเลยที่ 1 ได้ยักยอกผ้ากากีนวลปุนอนที่เจ้าหน้าที่กองคลังจ่ายเกิน(200 ฝืนตามจำนวนที่แก้) จากฎีกาที่ตั้งเบิกไปนั้นเสีย ดังนี้เมื่อจำเลยที่ 3 ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมและจดบัญชีสิ่งของ( แอ๊กมี่ 2) กับเขียนต้นขั้วใบสั่งจ่ายของ ใบนำออกและใบสั่งจ่ายเป็นเงิน 5,176 บาทอันเป็นราคาของผ้าจำนวน 307 ผืนตั้งแต่แรก และเมื่อลงบัญชีแอ๊กมี่ 2 จำเลยที่ 3 ยังเอาความเท็จมาแทงจำหน่ายว่าได้จ่ายผ้าให้กรมการสัตว์ทหารบกไป 307 ผืนราคา 5,176 บาทให้ตรงกันอีกโดยไม่มีข้อแก้ตัวดังนี้จำเลยที่ 3 ได้ชื่อว่าสมคบจำเลยที่ 1 กระทำความผิด
อนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 3 รู้อยู่ว่าฎีกา(ที่ 2/2495) ของกรมการสัตว์ทหารบกได้รับอนุญาตให้เบิกผ้าสีกากีนวลปูนอนได้เพียง 107 ผืน แต่จำเลยที่ 3 กลับนำความซึ่งรู้อยู่ว่าเท็จมาจดลงในใบสั่งจ่ายของและบัญชีแอ๊กมี่ 2 ว่าได้จ่ายผ้าสีกากีนวลปูนอนให้กรมการสัตว์ทหารบก 307 ผืนเช่นนี้จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามมาตรา 230 ไม่ใช่ตามมาตรา 133 เพราะจำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด ๆ แล้วไปกระทำการเกี่ยวข้อหาผลประโยชน์หรือกำไรโดยเอาส่วนลดและกำไรในการซื้อขายหรือเข้าหุ้นส่วนกับผู้ซื้อ และไม่ใช่ตามมาตรา 317 ที่โจทก์อ้าง
ความผิดของจำเลยที่ 3 คาน ม.230 นั้นมิใช่ทำต่อทรัพย์ของรัฐบาลที่จำเลยที่ 1 เอาไป จึงไม่ต้องด้วย ม.89 พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหาร 2477 ดังนี้ศาลก็ไม่บังคับให้จำเลยที่ 3 ใช้ราคาทรัพย์ตามที่โจทก์ขอ

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าพนักงานสังกัดกรมการสัตว์ทหารบก จำเลยที่ ๑ สังกัดกรมการสัตว์ทหารบกมีหน้าที่สิ่งของของกรมการสัตว์ทหารบกซึ่งเบิกจากคลังกรมยกกระบัติรทหารบก
จำเลยที่ ๒ เป็นนายทหารประจำการมีหน้าที่รับผิดชอบในหารตรวจฎีกาเบิกของ ๆ หน่วยราชการในกองทัพบก
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นพลเรือนจำเลยที่ ๓ มีหน้าทที่ควบคุมและจดบัญชีสิ่งของ (แอ๊กมี่ ๒) กับเขียนต้นขั้วใบสั่งจ่ายของ ฯลฯ จำเลยที่ ๔ มีหน้าที่ตรวจฎีกาเบิกของ ๆ หน่วยราชการกองทัพบก
เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกยื่นฎีกาของเบิกของรวม ๖ รายการ ๆ ละ ๑๐๗ ชิ้น คือผ้าสีกากีปูนอน ๑๐๗ ผืนมุ้ง ๑๐๗ หลัง ผ้าหนาปูนอน ๑๐๗ ผืน ฯลฯ มอบให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับแทน เมื่อเจ้าหน้าที่รับฎีกาส่งให้จำเลยที่ ๔ ตรวจตามห้าที่ จำเลยที่ ๔ บันทึกว่า “ตรวจแล้ว เบิกไม่เกินอัตรา ของมีจ่ายฉะเพาะผ้าหนาปูนอนเบิกขาดอัตรา ควรจ่ายให้ตามหมายเหตุ ” ฎีกาส่งต่อไปยังจำเลยที่ ๒ ๆ บันทึกใจความอย่างเดียวกับจำเลยที่ ๔ แล้วนำเสนอหัวหน้าแผนกที่ ๑ กรมยกกระบัตรทหารบกเพื่อสั่งจ่ายตามฎีกาฉบับนั้น หัวหน้าแผนกสั่งจ่ายตามเสนอ
ต่อมาจำเลยทั้งสี่มีเจตนาทุจริต คือจำเลยที่ ๓ บังอาจเอาความซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาจดลงในต้นขั้วใบสั่งจ่ายของและใบสั่งจ่ายของที่ ๘๓/๒๔๙๕ ลงวันที่ ๑๔ ม.ค.๒๔๙๕ ให้จ่ายผ้าสีกากีนวลจำนวน ๓๐๗ ยืนให้แก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งมาทำการเบิกเพื่อรับไปตามฎีกาที่กล่าข้างต้น ซึ่งหัวหน้าแผนกที่ ๑ อนุญาตให้จ่ายเพียง ๑๐๗ ผืนแล้วจำเลยที่ ๔ บังอาจเอาความที่รู้ว่าเป็นเท็จมาบันทึกในต้นขั้วใบสั่งจ่ายของและใบสั่งจ่ายของว่า ตรวจถูกต้องแล้วที่ ๒ สั่งให้เจ้าหน้าที่ที่กองคลังที่ ๒ จ่ายผ้าสีกากีนวลซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับของแทนเป็นจำนวน ๓๐๗ ผืน โดยจำเลยที่ ๒ รู้ว่ากรมการสัตว์ทหารบกของเบิกเพียง ๑๐๗ ผืนเจ้าหน้าที่กองคลังที่ ๒ จึงให้จ่ายให้แก่จำเลยที่ ๑ รับไปเกินจำนวนขอเบิก ๒๐๐ ผืนราคา ๓,๓๗๒ บาท จำเลยที่ ๑ รับไปส่งกรมการสัตว์ทหารบกเพียง ๑๐๗ ผืน ที่เหลืออีก ๒๐๐ ผืน จำเลยยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์ของตนเสียขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๓๓,๒๓๐,๓๑๗, ฯลฯ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๓,๓๗๒ บาทแก่กองทัพบก
ชั้นแรกจำเลยที่ ๑ รับสารภาพตามฟ้อง แต่ภายหลังให้การใหม่ว่า จำเลยที่ ๑ กระทำผิดแต่ผู้เดียวมิได้สมคบกับจำเลยอื่น ส่วนจำเลยอื่น ๆ ปฏิเสธ
ศาลทหารกรุงเทพฯ เชื่อว่าจำเลยสมคบกันทำผิดจริงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกทรัพย์และจดทะเบียนเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๓๓,๒๓๐ ฯลฯ ให้รวมกะทงลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดคนละ ๕ ปี ปราณีลดโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๕๔ กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๒ ปี ๖ เดือน ทั้งสี่ร่วมกันใช้ราคาทรัพย์๓,๓๗๒ บาทแก่กองทัพยกตามพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๘๙
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลทหารกลางเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๓๓ พระราชกำหนดแก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๓ และมาตรา ๒๒๕ แต่การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมเดียวกัน จึงให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๒๒๕ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๕ ปี ลดตามมาตรา ๕๙ กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ราคาทรัพย์
๓,๓๗๒ บาทแก่กองทัพบก ส่วนจำเลยที่ ๒,๓,๔, นั้น พยานโจทก์ยังมีข้อสงสัยไม่แน่ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง ให้ยกฟ้อง ให้ยกฟ้องโจทก์ฉะเพาะจำเลยที่ ๒,๓,๔,
อัยการโจทก์จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลทหารกรุงเทพฯ สั่งรับฎีกาโจทก์ฉะเพาะจำเลยที่ ๒,๓,๔, ส่วนฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ และฎีกาของจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลทหารกรุงเทพฯ และศาลทหารกลางพิพากษาให้ จำคุกจำเลยที่ ๑ เพียง ๒ ปี ๖ เดือน ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๔๗ สำหรับจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้แก้เลขจำนวนของในต้นขั้วใบสั่งจ่าย ใบสั่งจ่าย ใบแจ้งจำนวนของจริงและจำเลยที่ ๑ ได้ยักยอกผ้ากากีนวลปูนอนที่เจ้าหน้าที่กองคลังจ่ายเกิน(๒๐๐ ผืน) จากฎีกาที่ตั้งเบิกไปนั้นเสีย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยคงมีว่าในการนี้จำเลยที่ ๒,๓,๔, ได้กระทำอย่างใดหรือไม่
ปรากฎว่าจำเลยที่ ๓ เป็นผู้เขียนใบสั่งจ่ายในต้นขั้ว ใบสั่งจ่ายและใบสั่งจ่ายนั้น จำเลยที่ ๓ ได้ตรวจราคาผ้ารายนี้ว่าเป็นราคา ๕๑๗๖ บาทอันเป็นราคาของผ้า ๓๐๗ ผืน ทั้งในบัญชีคุมยอดสิ่งของคือบัญชีแอ๊กมี่ ๒ ซึ่งจำเลยที่มีหน้าที่เป็นผู้ทำ จำเลยที่ ๓ ก็จดลงในบัญชีว่า จ่ายผ้า ๓๐๗ ผืนราคา ๕๑๗๖ บาท
ข้อที่จำเลยที่ ๓ อ้างว่า วานนายอินคิดราคาผ้าดังกล่าวให้แล้งจำเลยเป็นผู้ลอก จำเลยไม่ได้คิดของนั้นก็ดี และตามบัญชีแอ๊กมี่ ๒ นั้น ต่อมาปรากฎว่าบัญชีของนายเสวกเป็น ๓๐๗ ผืน จำเลยที่ ๓ เข้าใจว่าจำเลยที่ ๓ ลงบัญชีของนายเสวกเป็น ๓๐๗ ผืน จำเลยที่ ๓ เข้าใจว่าจำเลยที่ ๓ ลงบัญชีผิดไป จึงทำบัญชีแอ๊กมี่ ๒ ขึ้นใหม่ให้ยอดตรงกับคลัง ข้ออ้างของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ได้ เพราะขณณะนายอินและนายเสวกมาเบิกความเป็นพะยานจำเลยที่ ๓ ก็มิได้ถามเกี่ยวกับข้อที่จำเลยอ้างนี้ให้ปรากฎ ทั้งหลักฐานที่หยิบยกขึ้นแก้นี้ก็มิได้อ้างมาเป็นพะยาน
เห็นว่าจำเลยที่ ๓ คิดราคาผ้าใส่ไว้ในต้นขั้วใบสั่งจ่ายและใบสั่งจ่ายเป็นเงิน ๕๑๗๖ บาทอันเป็นราคาของผ้าจำนวน ๓๐๗ ผืนตั้งแต่แรกและเมื่อลงบัญชีแอ๊กที่ ๒ จำเลยที่ ๓ ก็ยังเอาความเท็จมาแทงจำหน่ายว่าได้จ่ายผ้าให้กรมการสัตว์ทหารบกไป ๓๐๗ ผืนราคา ๕๑๗๖ บาทให้ตรงกันอีก จึงควรเชื่อว่าจำเลยที่ ๓ ได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ ในการกระทำผิดนี้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๔ คดียังฟังเอาแน่ไม่ได้ว่าได้สมคบกับจำเลยมรา ๑ ที่ ๓ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ปัญหาคงเหลืออยู่ว่าจำเลยที่ ๓ มีความผิดฐานใดบ้าง
ความผิดของจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๓๓ เพราะจำเลยที่ ๓ ไม่ใช่เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด ๆ แล้วไปกระทำการเกี่ยวข้องหาผลประโยชน์หรือกำไรโดยเอาส่วนลดและกำไรในการซื้อขายหรือเข้าหุ้นส่วนกับผู้ซื้อดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ และไม่ใช่ความผิดตามมาตรา ๓๑๗ ที่โจทก์อ้าง แต่จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ที่จะต้องออกใบสั่งจ่ายของและบัญชีแอ๊กมี่ ๒ ซึ่งเป็นบัญชีควบคุมยอดสั่งของในคลัง จำเลยที่ ๓ รู้อยู่ว่า ๒/๒๔๙๕ ของกรมการสัตว์ทหารบกได้รับอนุญาตให้เบิกผ้าสีกากีนวลปูนอนได้เพียง ๑๐๗ ผืน แต่จำเลยที่ ๓ กลับนำความซึ่งรู้อยู่ว่า เป็นความเท็จมาจดลงในใบสั่งจ่ายของและบัญชีแอ๊กที่ ๒ ว่าได้จ่ายผ้าสีกากีนวลปูนอนให้กรมการสัตว์ทหารบก ๓๐๗ ผืน จำเลยที่ ๓ จึงมีความผิดตามมาตรา ๒๓๐
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลทหารกลางว่าจำเลยที่ ๓ มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๓๐ ให้จำคุก ๕ ปี นอกจากนี้ยืน อนึ่งความผิดของจำเลยที่ ๓ ตามมาตรา ๒๓๐ นั้นมิใช่ทำต่อทรัพย์ของรัฐบางที่จำเลยที่ ๑ เอาไป จึงไม่ต้องด้วยมาตรา ๘๙ พระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๗๗ ดังนี้ศาลก็ไม่บังคับให้จำเลยที่ ๓ ใช้ราคาทรัพย์ตามที่โจทก์ขอ

Share