แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1387ไม่ได้แยกเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือที่ดินมีโฉนดให้มีผลแตกต่างกันหากแต่บัญญัติไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นดังนี้แม้ที่ดินของจำเลยจะเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แต่ก็เป็นอสังหาริมทรัพย์จึงย่อมตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์ซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เหมือนกับที่ดินของจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาท ขนาดกว้าง 6 ศอกยาว 14 วา และไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ไป ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2536โจทก์ไปแจ้งต่อผู้ปกครองหมู่บ้านว่า ทางพิพาทเป็นทางเดินซึ่งใช้เดินมาเป็นเวลานานแล้ว และนำดินมาถมทางเดินดังกล่าวจนเป็นถนนกว้าง 6 ศอก ยาว 14 วา ซึ่งจำเลยทั้งสองได้คัดค้านว่า ทางพิพาทมิใช่ทางเดิน แต่เป็นที่ดินที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองโดยจำเลยทั้งสองไม่ยินยอมให้ผู้ใดใช้เป็นทางเดิน ทั้งที่ดินของโจทก์และบุคคลอื่นก็มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ นับตั้งแต่ทางผู้ปกครองหมู่บ้านนำดินมาถมทางพิพาทถึงวันฟ้องเป็นเวลา5 เดือนเศษ ทางพิพาทจึงไม่อาจตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความอย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ดินของโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นที่ดินมีหนังสือสำคัญเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งผู้มีชื่อมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น หาได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใดไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387บุคคลจะต้องงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินบางอย่าง บุคคลนั้นจะต้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นเท่านั้น ทางพิพาทจึงไม่อาจตกเป็นภารจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1124 ของจำเลยทั้งสองกว้าง 6 ศอก ยาว 14 วาตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.4 ในส่วนหมายเลข 3 ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1126ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินของจำเลยทั้งสองให้แก่ที่ดินของโจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) อยู่ติดกัน โดยที่ดินของจำเลยทั้งสองอยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโจทก์ มีทางพิพาทตามฟ้องจากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองสู่ทางสาธารณะ คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงว่า ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะตกเป็นภารจำยอมได้หรือไม่ และทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์หรือไม่
สำหรับข้อกฎหมาย จำเลยทั้งสองฎีกาเป็นทำนองว่า ที่ดินมีโฉนดซึ่งเจ้าของมีกรรมสิทธิ์เท่านั้นจึงจะตกเป็นภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ได้ แต่ที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยทั้งสองมีสิทธิเพียงสิทธิครอบครอง ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์จึงไม่ก่อให้เกิดภารจำยอมแก่ที่ดินจำเลยทั้งสองได้ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวไม่ได้แยกเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือที่ดินมีโฉนดให้มีผลแตกต่างกัน หากแต่บัญญัติไว้ว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ดังนี้แม้ที่ดินจำเลยทั้งสองจะเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แต่ก็เป็นอสังหาริมทรัพย์จึงย่อมตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์ ซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เหมือนกับที่ดินของจำเลยทั้งสองได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว
ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า 10 ปีทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์โดยอายุความ
พิพากษายืน