คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6845/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้เสียหายทั้งสี่ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้ง 4 แปลง ก็เพื่อจะเอาค่าเช่าจากจำเลย อันเป็นความสมัครใจในการให้เช่าดังนั้น การที่จำเลยได้เงินจากผู้เสียหายทั้งสี่จึงเป็นไปตามข้อตกลงมิใช่เป็นการหลอกลวง ส่วนที่จำเลยไม่ไถ่ถอนจำนองให้เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าก็เป็นเพียงการผิดสัญญาซึ่งจะต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไปการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2533 ถึงวันที่4 มีนาคม 2534 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันจำเลยโดยเจตนาทุจริตหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนว่าจำเลยจะขอเช่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จากประชาชนโดยให้ประชาชนนำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปจดทะเบียนจำนองแก่ผู้มีชื่อเพื่อรับเงินกู้ที่ประชาชนเหล่านั้นกู้จากผู้มีชื่อ และจำเลยจะขอรับเงินกู้เองโดยจำเลยจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้ประชาชน และจำเลยรับรองว่าจะไถ่ถอนจำนองด้วยตนเองเพื่อนำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืนให้แก่ประชาชน ความจริงจำเลยมีเจตนามาแต่ต้นที่จะเอาเงินกู้ที่จำเลยได้รับจากการจำนองเป็นประโยชน์ของจำเลยโดยไม่มีเจตนาที่จะไถ่ถอนจำนองที่ดินมาคืนให้แก่ประชาชนที่ยอมนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาให้จำเลยเช่า โดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ประชาชนทั้งหลายและนายสังข์ ศรีขันแก้วนายบาล เสนสิทธิ์ นายเขียน ชรินทร์ และนายสมศักดิ์ ชรินทร์ผู้เสียหายทั้งสี่หลงเชื่อและนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวม4 แปลง ของผู้เสียหายทั้งสี่มาให้จำเลยเช่าและไปจดทะเบียนจำนองแก่ผู้มีชื่อจำนวน 2 แปลงและธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสว่างแดนดิน จำนวน 2 แปลง โดยการหลอกลวงดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยได้ไปซึ่งเงินกู้ของผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งได้รับจากผู้มีชื่อและธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสว่างแดนดิน เป็นเงินทั้งสิ้น 354,000 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 และให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่เป็นเงิน 354,000 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 33,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน30,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 125,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 165,500 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยได้เช่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่ดินรวม4 แปลง จากนายสังข์ นายบาล นายเขียน และนายสมศักดิ์ผู้เสียหายทั้งสี่ มีกำหนดเวลา 1 ปี โดยให้ผู้เสียหายทั้งสี่ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินแก่ผู้มีชื่อ 2 แปลง และธนาคาร 2 แปลงแล้วผู้เสียหายทั้งสี่มอบเงินที่ได้จากการจำนองที่ดินให้จำเลยและจำเลยได้แบ่งเงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่เป็นค่าเช่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยจำเลยตกลงจะไถ่ถอนจำนองที่ดินคืนให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ แต่เมื่อครบกำหนดเวลาเช่า จำเลยไม่ไถ่ถอนจำนอง
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 โจทก์จะต้องนำสืบให้ฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงเช่นว่านั้นจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิโจทก์มีผู้เสียหายทั้งสี่เบิกความได้ความว่า จำเลยมาขอเช่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของผู้เสียหายทั้งสี่ไปจำนองแก่ผู้มีชื่อ 2 แปลง และธนาคาร 2 แปลง ผู้เสียหายทั้งสี่ตกลงให้เช่าและได้รับเงินค่าเช่าจากจำเลยแล้ว นอกจากนี้โจทก์ยังมีผู้ใหญ่บ้านที่ผู้เสียหายทั้งสี่เป็นลูกบ้านเบิกความว่านายเขียนและนายสมศักดิ์ผู้เสียหายทั้งสองให้จำเลยเช่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยสมัครใจข้อเท็จจริงตามคำพยานโจทก์แสดงว่า ผู้เสียหายทั้งสี่ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทั้ง4 แปลง ก็เพื่อจะเอาค่าเช่าจากจำเลย อันเป็นความสมัครใจในการให้เช่า ดังนั้น การที่จำเลยได้เงินจากผู้เสียหายทั้งสี่ จึงเป็นไปตามข้อตกลงมิใช่เป็นการหลอกลวง ส่วนที่จำเลยไม่ไถ่ถอนจำนองให้เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าก็เป็นเพียงการผิดสัญญา ซึ่งจะต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share