คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6838/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากที่ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ว. ทายาทคนหนึ่งของเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกของ ว. จึงตกทอดแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทผู้สืบสิทธิชั้นบุตรและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยา หลังจากนั้นได้มีการทำข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกระหว่างผู้จัดการมรดกกับจำเลยที่ 2 โดยทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของเจ้ามรดกให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาท ว. ซึ่งในวันที่ทำบันทึกแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวไม่ปรากฏว่าผู้จัดการมรดกกระทำโดยมิชอบหรือทำผิดหน้าที่หรือทำเกินอำนาจหน้าที่ผู้จัดการมรดกแต่ประการใด จึงเป็นสิทธิของผู้จัดการมรดกที่จะกระทำได้ตามกฎหมาย ถือได้ว่าผู้จัดการมรดกทำกิจการในขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 และมาตรา 1724 บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวจึงมีผลผูกพันทายาททั้งหมดของเจ้ามรดก รวมทั้งโจทก์ด้วย จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นทายาทของเจ้ามรดกทั้งไม่ใช่ทายาทผู้เข้ารับมรดกแทนที่ ว. เป็นเพียงทายาทของ ว. ซึ่งมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกที่ตกได้แก่ ว. เท่านั้น จำเลยทั้งสองจึงอยู่ในฐานะบุคคลภายนอกที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1724
แม้บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกจะมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 (12) ที่ผู้แทนโดยชอบธรรมจะกระทำแทนผู้เยาว์ไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต และจำเลยที่ 2 ได้กระทำบันทึกดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์โดยไม่ได้ขออนุญาตศาลอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่การขออนุญาตศาลหรือไม่ ไม่ใช่แบบของนิติกรรมและกฎหมายก็มิได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าให้นิติกรรมที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวเป็นโมฆะกรรม ทั้งการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้แทนโดยชอบธรรมทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามมาตรา 1574 ไม่ได้ เว้นแต่ศาลอนุญาตนั้น เป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ประสงค์ให้ศาลเป็นผู้กำกับดูแลผลประโยชน์ส่วนได้เสียของผู้เยาว์ โดยดูแลให้ผู้แทนโดยชอบธรรมปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์อย่างถูกต้องแท้จริงเท่านั้น นิติกรรมที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวจึงไม่ถึงขนาดตกเป็นโมฆะกรรม คงมีผลเพียงไม่ผูกพันผู้เยาว์ที่บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองเท่านั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) เมื่อบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวไม่ตกเป็นโมฆะอันจะทำให้ผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดก็สามารถยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง แต่มีผลเพียงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 เท่านั้นที่จะยกการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างเพื่อมิให้ตนต้องผูกพันตามบันทึกดังกล่าวได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อเพิกถอนบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการทำนิติกรรมการโอนและการรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 73 ตำบลเมืองพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ที่โอนให้แก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวิสุทธิ์หรือในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ 1 โอนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่กองทรัพย์สินของนายยี่ม้วยกับนางเสียมเกียง หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองโดยไม่มีคู่ความโต้แย้งคัดค้านว่า นายวิสุทธิ์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนนายยี่ม้วยกับนางเสียมเกียงบิดามารดา นายยี่ม้วยกับนางเสียมเกียงจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตลอดมา นายวิสุทธิ์ไม่อาจทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ นิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทไม่สมบูรณ์ เมื่อนายยี่ม้วยกับนางเสียมเกียงถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทย่อมเป็นทรัพย์มรดกของนายยี่ม้วยกับนางเสียมเกียงซึ่งตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของบุคคลทั้งสองรวมทั้งนายวิสุทธิ์ซึ่งเป็นบุตรชายด้วย คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์มรดก ระหว่างนางสาววนิดา และนางสาวจุไรรัตน์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายยี่ม้วยกับนางเสียมเกียงกับจำเลยที่ 2 ผูกพันทายาทของเจ้ามรดกหรือไม่ เห็นว่า นางสาววนิดาและนางสาวจุไรรัตน์ เป็นผู้จัดการมรดกของนายยี่ม้วยกับนางเสียมเกียงตามคำสั่งศาล นางสาววนิดาและนางสาวจุไรรัตน์จึงเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 นางสาววนิดาและนางสาวจุไรรัตน์จึงมีหน้าที่กระทำการอันจำเป็นเพื่อรวบรวมทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท ในฐานะผู้แทนตามกฎหมายของทายาทในการจัดการทรัพย์มรดกและแบ่งปันทรัพย์มรดก ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากศาลมีคำสั่งตั้งนางสาววนิดาและนางสาวจุไรรัตน์เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว นายวิสุทธิ์ทายาทคนหนึ่งของเจ้ามรดกได้ถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกของนายวิสุทธิ์จึงตกทอดแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทผู้สืบสิทธิชั้นบุตรและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยา หลังจากนั้นได้มีการทำข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกระหว่างผู้จัดการมรดกกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2545 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก ซึ่งข้อ 4 กำหนดว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 73 เลขที่ดิน 155 ตำบลเมืองพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท เป็นมรดกของเจ้ามรดกให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทนายวิสุทธิ์ ซึ่งในวันที่ทำบันทึกนี้ผู้จัดการมรดกได้มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่ทายาทนายวิสุทธิ์รับไปเรียบร้อยแล้ว การทำบันทึกแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวไม่ปรากฏว่าผู้จัดการมรดกกระทำโดยมิชอบหรือทำผิดหน้าที่หรือทำเกินอำนาจหน้าที่ผู้จัดการมรดกแต่ประการใดจึงเป็นสิทธิของผู้จัดการมรดกที่จะกระทำได้ตามกฎหมายถือได้ว่าผู้จัดการมรดกทำกิจการในขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 และมาตรา 1724 บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวจึงมีผลผูกพันทายาททั้งหมดของเจ้ามรดก รวมทั้งโจทก์ด้วย ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่บุคคลภายนอกที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1724 และบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ตกลงแบ่งมรดกกันระหว่างทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1715 ซึ่งทายาทต้องลงลายมือชื่อเองจึงจะผูกพันทายาทได้นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นทายาทของเจ้ามรดก ทั้งไม่ใช่ทายาทผู้เข้ารับมรดกแทนที่นายวิสุทธิ์ จำเลยทั้งสองเป็นเพียงทายาทของนายวิสุทธิ์ซึ่งมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกที่ตกได้แก่นายวิสุทธิ์เท่านั้น จำเลยทั้งสองจึงอยู่ในฐานะบุคคลภายนอกตามบทบัญญัติดังกล่าว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก เป็นโมฆะกรรมเพราะทำขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 (12) หรือไม่ เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่า ขณะทำบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก นั้น จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายวิสุทธิ์ แต่จำเลยที่ 2 ทำบันทึกดังกล่าวแทนบุตรผู้เยาว์ 3 คน รวมทั้งจำเลยที่ 1 ด้วย โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ขออนุญาตศาล จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 1574 (12) มีผลให้บันทึกที่ทำขึ้นตกเป็นโมฆะทั้งหมดเนื่องจากจำนวนผู้ได้รับส่วนแบ่งมรดกและจำนวนทรัพย์มรดกที่ได้รับส่วนแบ่งเกี่ยวพันกันแบ่งแยกไม่ได้ เห็นว่า แม้บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดก จะมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา 1574 (12) ที่ผู้แทนโดยชอบธรรมจะกระทำแทนผู้เยาว์ไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตและจำเลยที่ 2 ได้กระทำบันทึกดังกล่าวแทนบุตรผู้เยาว์โดยไม่ได้ขออนุญาตศาลอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าวก็ตาม แต่การขออนุญาตศาลหรือไม่ไม่ใช่แบบของนิติกรรมและกฎหมายก็มิได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าให้นิติกรรมที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวเป็นโมฆะกรรม ทั้งการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้แทนโดยชอบธรรมทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามมาตรา 1574 ไม่ได้ เว้นแต่ศาลอนุญาตนั้น เป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ประสงค์ให้ศาลเป็นผู้กำกับดูแลผลประโยชน์ส่วนได้เสียของผู้เยาว์ โดยดูแลให้ผู้แทนโดยชอบธรรมปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์อย่างถูกต้องแท้จริงเท่านั้น นิติกรรมที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวจึงไม่ถึงขนาดตกเป็นโมฆะกรรม คงมีผลเพียงไม่ผูกพันผู้เยาว์ที่บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แม้ปัญหานี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 เมื่อวินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกไม่เป็นโมฆะแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะทั้งหมดหรือบางส่วนอีกต่อไป และเมื่อบันทึกดังกล่าวไม่ตกเป็นโมฆะอันจะทำให้ผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดก็สามารถยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างก็ได้ตามบทบัญญัติ มาตรา 172 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มีผลเพียงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 เท่านั้นที่ยกการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างเพื่อมิให้ตนต้องผูกพันตามบันทึกดังกล่าวได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อเพิกถอนบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกได้ ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่วินิจฉัยในประเด็นอายุความและการมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนเจ้ามรดกตาม คำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เป็นข้อฎีกาที่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share