แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องทั้งสองบรรยายข้อเท็จจริงในคำร้องขอทำนองว่า ผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตแนวของโฉนดที่ดินที่ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องทั้งสองเข้าใจมาตลอดว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนเองหรือเป็นที่ดินที่ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองนำโฉนดที่ดินมาแสดงและอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน ผู้ร้องทั้งสองจึงร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อผู้คัดค้านทั้งสอง ดังนี้ คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และสามารถอ่านเข้าใจเจตนาของผู้ร้องทั้งสองในการยื่นคำร้องขอในคดีนี้ได้ว่า ไม่ใช่การบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นการร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองหรือขัดกันเอง แต่เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของผู้คัดค้านทั้งสอง
ย่อยาว
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งว่า ผู้ร้องทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 622 ตำบลบ้านจ่า อำเภอ (สิงห์) บางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา และโฉนดเลขที่ 14437 ตำบลบ้านจ่า (โพธิ์ทะเล) อำเภอ (สิงห์) ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ประมาณ 3 งาน 62 ตารางวา
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ยกคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสอง ให้ผู้ร้องทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เล่มที่ 1 หน้า 9 สารบบเล่ม หมู่ที่ 1 หน้า 43 ตำบลโพธิ์ทะเล อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ประมาณ 23 ไร่ 48 ตารางวา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 นางพะเยาว์ มารดาของผู้ร้องทั้งสองจดทะเบียนยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงส่วนที่เป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยการทำนาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบทอดต่อเนื่องจากนางพะเยาว์มาตลอดเกินกว่า 10 ปีแล้ว ส่วนผู้คัดค้านทั้งสอง เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2554 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 14437 ตำบลบ้านจ่า (โพธิ์ทะเล) อำเภอ (สิงห์) ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ตามที่ระบุในโฉนดที่ดิน 49 ไร่ 2 งาน 26 ตารางวา จากนางปริศนา และนางจินดา แล้วต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 ผู้คัดค้านทั้งสองซื้อที่ดินที่มีแนวเขตตามหลักฐานที่ปรากฏ ในโฉนดที่ดินติดต่อกันเพิ่มอีก 1 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 622 จากนางปริศนา ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านทั้งสองขอรังวัดสอบเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงที่ผู้คัดค้านทั้งสองซื้อมาดังกล่าว ผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินพิพาททับซ้อนรวมอยู่ในแนวเขตของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 622 และ 14437 ด้วย โดยโฉนดเลขที่ 622 เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา ทับซ้อนทั้งแปลง กับอยู่ในโฉนดเลขที่ 14437 เนื้อที่ประมาณ 3 งาน 62 ตารางวา
ปัญหาที่ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยประการแรกว่า คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองในคดีนี้เป็นคำร้องขอที่มีเนื้อหาขัดกันเอง กล่าวคือ ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่า เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่ในขณะเดียวกันก็ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงเป็นคำร้องขอที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องทั้งสองบรรยายข้อเท็จจริงในคำร้องขอได้ความตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ยุติดังกล่าวแล้ว กล่าวคือ นางพะเยาว์ มารดาผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ต่อมาวันที่ 22 มิถุนายน 2553 นางพะเยาว์ส่งมอบการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวและจดทะเบียนยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงส่วนที่เป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยการทำนา โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบทอดต่อเนื่องจากนางพะเยาว์มาตลอดเกินกว่า 10 ปีแล้ว จนต่อมาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2554 ผู้คัดค้านทั้งสองซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 14437 ตำบลบ้านจ่า (โพธิ์ทะเล) อำเภอ (สิงห์) ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ตามที่ระบุในโฉนดที่ดิน 49 ไร่ 2 งาน 26 ตารางวา จากนางปริศนา และนางจินดา แล้วต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 ผู้คัดค้านทั้งสองซื้อที่ดินเพิ่มอีก 1 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 622 จากนางปริศนา ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2557 ผู้คัดค้านทั้งสองขอรังวัดสอบเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงที่ผู้คัดค้านทั้งสองซื้อมาดังกล่าว ผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินพิพาททับซ้อนรวมอยู่ในแนวเขตของที่ดินโฉนดเลขที่ 622 และ 14437 ด้วย โดยที่ดินโฉนดเลขที่ 622 เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา ทับซ้อนทั้งแปลง ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 14437 ทับซ้อนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 62 ตารางวา เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองนำเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไปขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 14437 และ 622 ผู้ร้องทั้งสองจึงทราบว่าที่ดินที่ผู้ร้องทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องจากนางพะเยาว์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวอยู่ในแนวเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองจึงคัดค้านการรังวัด และมายื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้ว่า ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เห็นว่า คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงทำนองว่าผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตแนวของโฉนดที่ดินที่ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องทั้งสองเข้าใจมาตลอดว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนเอง หรือเป็นที่ดินที่ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองนำโฉนดที่ดินมาแสดงและอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน ผู้ร้องทั้งสองจึงยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อผู้คัดค้านทั้งสอง ดังนี้ คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และสามารถอ่านเข้าใจเจตนาของผู้ร้องทั้งสองในการยื่นคำร้องขอในคดีนี้ได้ว่า ไม่ใช่การบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นการร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองหรือขัดกันเอง แต่เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของผู้คัดค้านทั้งสอง คดีจึงมีประเด็นที่จะให้ศาลวินิจฉัยได้ว่า ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของผู้คัดค้านทั้งสองหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นให้ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของผู้คัดค้านทั้งสองหรือไม่ จึงชอบแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาท โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนเกินกำหนด 10 ปีแล้ว ผู้ร้องทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของผู้คัดค้านทั้งสอง ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านในประเด็นนี้ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังเป็นยุติไปตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
พิพากษากลับว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 622 ตำบลบ้านจ่า อำเภอ (สิงห์) บางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 14437 ตำบลบ้านจ่า (โพธิ์ทะเล) อำเภอ (สิงห์) ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ประมาณ 3 งาน 62 ตารางวา ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ