คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6832/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สำหรับความผิดฐานบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางป่าและความผิดฐานทำไม้ในป่าและป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 54, 72 ตรี วรรคสอง, 73 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง (1) พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14 วรรคหนึ่ง, 31 วรรคสอง (1) เป็นการกระทำความผิดต่อต้นไม้จำนวนเดียวกัน และได้กระทำคราวเดียวพร้อมกันต่อเนื่องกันไป จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (1) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษเรียงกระทงโดยแยกความผิดเป็นสองกรรมไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นว่ากล่าวและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 5, 7, 11, 54, 69, 72 ตรี, 73, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 4, 6, 8, 9, 14, 31, 38 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ริบของกลางทั้งหมด และให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน บริวารของจำเลยออกจากป่าสงวนแห่งชาติกับให้สั่งจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11, 54, 69, 72 ตรี, 73, (ที่ถูก 69 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (1), 72 ตรี วรรคสอง, 73 วรรคหนึ่ง และ วรรคสอง (1)) 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง, 31 วรรคสอง (ที่ถูก 14 วรรคหนึ่ง, 31 วรรคสอง (1)) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานทำไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 ปี และฐานมีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 11 ปี ริบของกลาง ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากป่าสงวนแห่งชาติ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “…ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องมีผู้บุกรุกเข้าก่นสร้าง แผ้วถางป่า ยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุเนื้อที่ 70 ไร่ ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยใช้เลื่อยยนต์ มีดพร้า และขวานเป็นอุปกรณ์ โค่นล้มไม้พื้นล่างอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ได้แก่ ไม้ยาง 19 ต้น 5 ท่อน และไม้หวงห้ามประเภท ก. ชนิดต่างๆ อีก 12 ต้น 5 ท่อน รวมปริมาตร 40.62 ลูกบาศก์เมตร คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายอภิสิทธิ์ เจ้าพนักงานป่าไม้หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ สด.18 หน่วยกงตาก เป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีการบุกรุก แผ้วถางป่า ตัดโค่นต้นไม้จำนวนมากบริเวณที่เกิดเหตุ จึงเดินทางไปที่เกิดเหตุพบว่ามีการบุกรุก แผ้วถางป่า ตัดโค่นต้นไม้เนื้อที่ 70 ไร่ ขณะเข้าตรวจสอบไม่พบบุคคลใดอยู่ในที่เกิดเหตุ จึงตรวจสอบไปทางผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ที่รับผิดชอบท้องที่เกิดเหตุ ได้ความจากนางสารภี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน จำเลยไปติดต่อขอให้นางสารภีรับรองว่า พื้นที่เกิดเหตุเป็นของจำเลย เพื่อจะนำไปให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ แต่นางสารภีไม่ดำเนินการให้ เนื่องจากเห็นว่าที่ดินที่เกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ นอกจากนี้ยังได้รับแจ้งจากนายสากลผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 และนายสมเนย์ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ว่า เคยเห็นจำเลยเข้าไปแผ้วถางป่าในที่เกิดเหตุด้วย โดยมีนางสารภี นายสากล และนายสมเนย์ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนยืนยันข้อเท็จจริงตามที่นายอภิสิทธิ์เบิกความ เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมีเหตุผล ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุน่าระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง แม้จะได้ความว่าในขณะเกิดเหตุที่เจ้าพนักงานตรวจพบและยึดไม้ของกลางในที่เกิดเหตุจะไม่พบบุคคลใดอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ก็ได้ความจากนายอภิสิทธิ์เบิกความยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน ได้ไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นป่าสมบูรณ์มีต้นไม้ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้เข้าไปทำประโยชน์ตัดโค่นต้นไม้ และนายสากลกับนายสมเนย์เบิกความยืนยันว่า ในช่วงระหว่างเวลาที่เกิดเหตุ เห็นจำเลยกับพวกบุกรุก ครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางป่า ในที่เกิดเหตุข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้บุกรุก ก่นสร้าง แผ้วถางป่าและตัดโค่นต้นไม้ในที่เกิดเหตุ จึงมีความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง สำหรับความผิดฐานบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางป่าและความผิดฐานทำไม้ในป่าและป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 54, 72 ตรี วรรคสอง, 73 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (1) พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507มาตรา 14 วรรคหนึ่ง, 31 วรรคสอง (1) เป็นการกระทำความผิดต่อต้นไม้จำนวนเดียวกันและได้กระทำคราวเดียวพร้อมกันต่อเนื่องกันไป จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (1) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษเรียงกระทงโดยแยกความผิดเป็นสองกรรมไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นว่ากล่าวและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยกระทำผิดในเขตป่าและป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ถึง 70 ไร่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้ยางและไม้หวงห้ามประเภท ก. ชนิดต่างๆ จำนวนมาก รวม 31 ต้น 10 ท่อนรวมปริมาตร 40.62 ลูกบาศก์เมตร ที่ศาลกำหนดโทษแก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขและเมื่อโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงเกินกว่า 3 ปี จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถางป่า และความผิดฐานทำไม้ในป่าและป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานทำไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคสอง (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี รวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายแล้ว เป็นจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share