คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479มาตรา 8 มีถ้อยคำว่า ‘ถ้าผู้ใดเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง’ แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ใช้ถ้อยคำเพียงว่า ‘ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ฯลฯ มาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง’ ไม่มีถ้อยคำว่า ต้อง ‘เคยได้รับโทษจำคุกมาแล้ว’ ด้วย จึงเป็นการแสดงว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41ได้เปลี่ยนแปลงหลักการในเรื่องที่จะลงโทษกักกันจากพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายเดิมเสียแล้ว
จำเลยกระทำความผิดและถูกศาลพิพากษาลงโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือนมาแล้ว 2 ครั้งคดีที่จำเลยกระทำความผิดทีหลังศาลพิพากษาลงโทษก่อนส่วนคดีที่จำเลยกระทำความผิดก่อนศาลพิพากษาลงโทษทีหลังทั้งในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษทีหลัง ศาลพิพากษาให้นับโทษต่อคดีที่พิพากษาก่อนด้วยแล้วจำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้อีก และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือน ดังนี้ ศาลอาจถือว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2506)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางสำลีในเวลากลางคือ ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2504 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2504 เหตุเกิดที่ตำบลบุคคโล อำเภอธนบุรีจังหวัดธนบุรี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) (4) (7) (8) และกล่าวในฟ้องด้วยว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือน มาแล้ว 2 ครั้ง ปรากฏตามใบแดงแจ้งประวัติ ครั้งที่ 4 คดีที่ 2 และคดีที่ 3 ท้ายฟ้องในขณะที่จำเลยมีอายุเกินกว่า 17 ปี จำเลยรับโทษและพ้นโทษไปในเวลา 3 ปี แต่วันพ้นโทษจำเลยกลับมากระทำผิดในคดีนี้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกันอีก หาเข็ดหลาบไม่ ขอเพิ่มโทษและกักกันจำเลยอีกโสดหนึ่งด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41, 93

จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยผิดตามฟ้องเพิ่มโทษและลดโทษแล้วคงจำคุกจำเลย 9 เดือน และเห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัย ให้ส่งจำเลยไปกักกันมีกำหนด 3 ปี

จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นให้กักกันนั้นไม่ชอบ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ถือไม่ได้ว่าการที่จำเลยถูกศาลพิพากษาในคดีหลัง (คดีอาญาแดงที่ 1272/2501) จำเลยได้กระทำผิดขึ้นใหม่ภายหลังที่จำเลยได้ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาแดงที่ 932/2501 มาแล้ว อันจะเป็นการกระทำผิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 41 บัญญัติถึงจำนวนครั้งที่จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำเลยมาแล้วเป็นสำคัญและต้องไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งหมายความว่า ได้เคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกมาแล้วได้กระทำผิดขึ้นอีก หาใช่เพียงแต่ได้ความว่ามีคำพิพากษาให้ลงโทษมาแล้วโดยไม่คำนึงถึงวันทำผิดก่อนหรือหลังวันที่ศาลพิพากษาใหม่ จึงพิพากษาว่าจะลงโทษกักกันจำเลยไม่ได้ ให้แก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในข้อนี้

โจทก์ฎีกาขอให้กักกันจำเลย

ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้คดีอาญาแดงที่ 1272/2501 จำเลยจะกระทำผิดไว้ก่อน แต่ศาลพิพากษาลงโทษภายหลังคดีอาญาแดงที่ 932/2501 และทั้งศาลได้พิพากษาให้นับโทษในคดีอาญาแดงที่ 1272/2501 ติดต่อกันกับคดีอาญาแดงที่ 932/2501 ก็ดี ตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 มีถ้อยคำว่า “ถ้าผู้ใดเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง” แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ใช้ถ้อยคำเพียงว่า “ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ฯลฯ มาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง”เท่านั้น ไม่มีถ้อยคำว่า ต้อง “เคยได้รับโทษจำคุกมาแล้ว” ด้วยจึงเป็นการแสดงว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ได้เปลี่ยนแปลงหลักการในเรื่องที่จะลงโทษกักกันจากพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายเดิมเสียแล้วคือ ประมวลกฎหมายอาญาถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในข่ายของศาลที่อาจถือว่าจำเลยเป็นผู้ที่กระทำผิดติดนิสัยได้สำหรับคดีนี้ศาลจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจดูว่าจะควรถือว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยหรือไม่

ปรากฏว่าจำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษมาก่อนแล้ว 5 คดี เป็นโทษรับของโจร 2 คดี โทษลักทรัพย์ 2 คดี ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกครั้งละ 8 เดือน2 คดี และจำคุกครั้งละ 1 ปี 2 คดี กับหลบหนีที่คุมขังถูกจำคุก 1 เดือนอีก 1 คดีแล้วมากระทำผิดในคดีนี้อีกจึงควรถือว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัย ฉะนั้น ตามที่ศาลอาญาพิพากษาให้ส่งจำเลยไปกักกันมีกำหนด 3 ปี จึงเป็นการสมควรแล้ว

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้ลงโทษกักกันจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share