คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6829/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์และทำสัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ดังกล่าว โดยมีข้อสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองว่า หากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ขาดจนครบ จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินดังกล่าว เป็นการร่วมรับรู้ถึงหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นและได้ให้สัตยาบันในหนี้ดังกล่าว หนี้นั้นจึงเป็นหนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) จำเลยที่ 2 ในฐานะภริยาต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย
ป.พ.พ. มาตรา 728 บัญญัติเพียงว่า ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งกำหนดไว้ในคำบอกกล่าวนั้น มิได้บัญญัติบังคับว่าการบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นหนังสือด้วยการมอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวบังคับจำนองจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือตามมาตรา 798 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2535 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 400,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี และยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นแต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด กำหนดชำระดอกเบี้ย 6 เดือนต่อครั้ง และจะชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 2 ตุลาคม 2536 จำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ไปครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อให้ความยินยอมและให้สัตยาบันในการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 อันเป็นหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างสมรส จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม จำเลยทั้งสองจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 240 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้จำนวน 400,000 บาท ยินยอมให้ดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่โจทก์ประกาศกำหนด โดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยอมให้โจทก์ยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นเงิน 464.41 บาท และดอกเบี้ย 152,535.59 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราต่างๆ แต่ละช่วงเวลาโดยอาศัยข้อสัญญา ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และประกาศของโจทก์ นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2541 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 224,785.24 บาท รวมกับต้นเงิน 399,535.59 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 624,320.83 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 624,320.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี หรือดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่โจทก์ประกาศขึ้นลง แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยจากต้นเงิน 399,535.59 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินสัญญาจำนองและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนอง และไม่เคยได้รับเงิน 400,000 บาท ไปจากโจทก์ ลายมือชื่อในช่องผู้กู้ยืม ผู้จำนองในสัญญาจำนองและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นลายมือชื่อปลอมที่พนักงานของโจทก์และบุคคลอื่นได้ร่วมกันปลอมขึ้นทั้งฉบับ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำหนังสือยินยอมในฐานะคู่สมรสกับจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจำนอง และสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนอง ลายมือชื่อผู้ยินยอมในสัญญากู้เงินไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แต่เป็นเอกสารที่พนักงานของโจทก์และบุคคลอื่นร่วมกันปลอมขึ้นทั้งฉบับ จำเลยทั้งสองไม่ได้รับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองเพราะจำเลยทั้งสองไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ตามหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 624,320.83 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 399,535.59 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เฉพาะดอกเบี้ยต้องไม่เกินอัตราสูงสุดที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกหนี้ที่ผิดนัด หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 240 ตำบลสระประดู่ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอสวมสิทธิเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมดนั้น เป็นข้อที่จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินสัญญาจำนองและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองกับโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ และโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบหรือไม่…
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อแรกมีว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงิน สัญญาจำนองและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองกับโจทก์หรือไม่และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีนายประสานทรัพย์และนางสาวถนอมศรีเป็นพยานเบิกความประกอบสัญญากู้เงิน หนังสือให้ความยินยอม สัญญาจำนอง และสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนอง ตามเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.7 ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2535 และจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 240 ตำบลสระประดู่ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประกันหนี้เงินกู้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ขอต่ออายุสัญญากู้เงิน 2 ครั้ง ตามบันทึกขอต่ออายุสัญญาเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จำเลยที่ 1 ชำระเงินกู้และดอกเบี้ย เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นเงิน 464.41 บาทและดอกเบี้ย 152,535.95 บาท ตามบัตรบัญชีเงินกู้เอกสารหมาย จ.12 ส่วนจำเลยทั้งสองมีตัวจำเลยทั้งสองเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยทั้งสองเคยลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้เงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความให้นางไพรัตน์นำไปดำเนินการขอกู้เงิน 2 ครั้ง เมื่อปี 2532 และปี 2535 เนื่องจากนางไพรัตน์ประสงค์จะได้เงินใช้และจำเลยที่ 1 จะนำเงินไปซื้อรถใหม่ แต่นางไพรัตน์ไม่ได้ไปดำเนินการเพราะนางไพรัตน์ไม่จำเป็นต้องใช้เงินและจำเลยที่ 1 ก็ไม่ประสงค์จะซื้อรถใหม่ จำเลยทั้งสองไม่เคยรับเงิน 400,000 บาท จากโจทก์ เห็นว่า นายประสานพยานโจทก์มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าสินเชื่อ มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารและเร่งรัดหนี้สินในคดีนี้ จึงรู้เห็นเกี่ยวกับความเป็นมาของหนี้สินรายนี้ ส่วนนางสาวถนอมศรีเป็นพยานในสัญญากู้เงินด้วย จึงเป็นผู้ที่รู้เห็นเกี่ยวกับการทำสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 มาด้วยตัวเองโดยตรง คำเบิกความของนายประสานและนางสาวถนอมศรีมีหนังสือสัญญากู้เงิน บันทึกขอต่ออายุสัญญากู้เงินสัญญาจำนองและสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองคงมีแต่คำเบิกความของตัวจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองไม่ยืนยันว่าลายมือชื่อผู้กู้และผู้ให้ความยินยอมจะเป็นลายมือชื่อจำเลยทั้งสองหรือไม่ โดยไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนให้เห็นได้ว่าลายมือชื่อผู้กู้และผู้ให้ความยินยอมดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอมดังที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ไว้ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองจึงไม่น่าเชื่อถือ แม้จำเลยที่ 1 จะมีสำเนาบันทึกและสำเนารายงานการเดินทางตามเอกสารหมาย ล.19 เป็นพยานว่า ในวันที่ 2 ตุลาคม 2541 จำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ที่การไฟฟ้ารังสิต จึงไม่มีทางที่จะไปทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ได้ โดยมีนายณรงค์เป็นพยานสนับสนุนก็ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และนายณรงค์ไม่สมเหตุผลและขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่จำเลยเบิกความว่าในปี 2541 จำเลยที่ 1 ได้นำเงิน 152,535.59 บาท ไปชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญากู้เงินโจทก์จริงดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 1 ต้องนำเงินจำนวน 152,535.59 บาท ไปชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ เป็นการกระทำอันปราศจากข้อสงสัย แสดงให้เห็นเป็นปริยายว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ 400,000 บาท และทำสัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ดังกล่าว โดยมีข้อสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองว่า หากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ขาดจนครบถ้วนดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบดัวยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินดังกล่าว เป็นการร่วมรับรู้ถึงหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นและได้ให้สัตยาบันในหนี้ดังกล่าว หนี้นั้นจึงเป็นหนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) จำเลยที่ 2 ในฐานะภริยาย่อมต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย
ปัญหาประการต่อไปมีว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าโรง อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 27/93 หมู่ที่ 7 ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2536 การที่โจทก์ส่งคำบอกกล่าวบังคับจำนองไปที่บ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าโรง อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จึงเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรจากฐานข้อมูลการทะเบียน สำนักงานทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เอกสารท้ายคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545 ระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 ได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 27/93 หมู่ที่ 7 ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2544 หาใช่วันที่ 13 ธันวาคม 2536 ดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างไม่ ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะทำสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองกับโจทก์ในคดีนี้ จำเลยที่ 1 เคยทำสัญญาจำนองกับโจทก์สองครั้งตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย ล.4 และ ล.10 โดยระบุที่อยู่ของจำเลยที่ 1 ว่า อยู่ที่บ้านเลขที่ 39 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าโรง อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ และตามหนังสือให้ความยินยอมในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจำนองของจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย ล.9 ก็ระบุที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ว่าอยู่ที่บ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าโรง อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เช่นเดียวกันแสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาจะใช้บ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 2 อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง การที่จำเลยที่ 1 ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 27/93 หมู่ที่ 7 ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยไม่แจ้งแก่โจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว แสดงว่าจำเลยทั้งสองยังคงมีเจตนาจะใช้บ้านเลขที่ 29 เป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองต่อไป การที่โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังบ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าโรง อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์จึงเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า โจทก์มิได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายจตุพลทนายโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองเป็นหนังสือ การบอกกล่าวบังคับจำนองของนายจตุพลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ การแต่งตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย” แต่มาตรา 728 บัญญัติเพียงว่า “เมื่อจะบังคับจำนองนั้น ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งกำหนดไว้ในคำบอกกล่าวนั้น…” หาได้บัญญัติบังคับว่าการบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นหนังสือด้วยไม่ การมอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวบังคับจำนองจึงไม่จำต้องมอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา การที่โจทก์มอบหมายให้นายจตุพลทนายโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนอง และนายจตุพลได้มีจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 1 จึงเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้และไม่ไถ่ถอนจำนองตามกำหนด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share