แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้จะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ก็ตาม แต่ข้อกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้มาจาก ข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เช่น ได้จากพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องนำสืบในประเด็น หรือได้จาก เอกสารพยานที่มีกฎหมายบังคับให้คู่ความที่กล่าวอ้างต้องแสดง เป็นต้น แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกประเด็น ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบหรือมีกฎหมายบังคับให้ต้อง แสดงศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมาย ตามมาตรา 142(5) ไม่ได้ เพราะถือเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และต้องห้ามตามมาตรา 87
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 169,600 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว กรณีได้ความว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินค่าทาสีภายนอกอาคาร ค่าขัดเงาพื้นปาร์เก้ ค่าติดตั้งแอร์และเครื่องทำน้ำอุ่นของบ้านพิพาทที่โจทก์ซื้อมาจากจำเลย จำนวน 300,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้ว่าจ้างบุคคลภายนอกดำเนินการให้เนื่องมาจากจำเลยประพฤติผิดสัญญาในข้อดังกล่าว จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าข้อสัญญาเรื่องทาสีภายนอกอาคาร การขัดเงาพื้นปาร์เก้ ติดตั้งแอร์และเครื่องทำน้ำอุ่นได้ตกลงยกเลิกกันไปแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดในข้อดังกล่าวต่อโจทก์อีก ฉะนั้นประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาไม่ทาสีภายนอกอาคาร ไม่ขัดเงาพื้นปาร์เก้ไม่ติดตั้งแอร์และเครื่องทำน้ำอุ่นแก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือการซื้อขายบ้านและที่ดินอีกทั้งโจทก์และจำเลยต่างก็มิได้ฟ้องหรือให้การถึงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ หนังสือสัญญาซื้อขายตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ก็ดี หรือสำเนาโฉนดที่ดินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ก็ดี ที่ระบุชื่อนายสุรพล นิรันดร์วิชย สามีที่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เป็นผู้ซื้อ จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นนอกฟ้องและนอกคำให้การ โดยศาลชั้นต้นก็มิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และจำเลยไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ ดังนั้นแม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นขอยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ก็ตามแต่ข้อกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เช่นได้จากพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องนำสืบในประเด็น หรือได้จากเอกสารพยานที่มีกฎหมายบังคับให้คู่ความที่กล่าวอ้างต้องแสดงเป็นต้น แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกประเด็นไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบหรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องแสดงศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ไม่ได้ เพราะถือเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87 ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยโอนขายบ้านและที่ดินแก่นายสุรพล (สามีโจทก์) สัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 จึงเลิกกันโดยปริยาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวได้นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นอื่น ๆ จึงเห็นควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ครบถ้วน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี