คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่บริษัทจำเลยซึ่งมีเจ้าหนี้อยู่ทั้งหมดประมาณ 40 ราย และมีฐานะการเงินพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้เฉพาะ 8-9 ราย ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเจ้าหนี้ 8-9 ราย ภายในระยะเวลา 3 เดือนก่อนถูกฟ้องล้มละลายนั้น การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้เจ้าหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น เป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 ที่ประสงค์จะให้เจ้าหนี้ทั้งหลายได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาคทั่วหน้ากัน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทจำเลยผู้ล้มละลายจึงขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ตาม มาตรา 115

ย่อยาว

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า บริษัทจำเลยถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2512 ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม2512 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2512 ในการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2512 บริษัทโชคชัยจำกัด ได้ยื่นฟ้องบริษัทจำเลยต่อศาลแพ่งให้ชำระค่าเช่าทรัพย์สินและค่าเสียหายเป็นเงิน 1,824,736.10 บาท ต่อมาปลายเดือนมกราคม 2512 บริษัทจำเลยได้ทำความตกลงประนอมหนี้กับบริษัทโชคชัย จำกัด โดยบริษัทจำเลยยอมชำระเงินให้แก่บริษัทโชคชัย จำกัด 525,000 บาท ซึ่งบริษัทโชคชัย จำกัด ได้รับเงินจากบริษัทจำเลยแล้ว และได้ขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวในเวลาต่อมา ปรากฏตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 446/2512 การโอนทรัพย์สินและการกระทำของจำเลยดังกล่าวได้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย โดยจำเลยมุ่งหมายให้บริษัทโชคชัย จำกัด เจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนระหว่างบริษัทจำเลยกับบริษัทโชคชัย จำกัด ดังกล่าว ให้บริษัทโชคชัย จำกัดชำระเงิน 525,000 บาทกับดอกเบี้ยแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

บริษัทโชคชัย จำกัด ยื่นคำคัดค้านว่า บริษัทจำเลยเป็นลูกหนี้ผู้คัดค้านด้วยมูลหนี้ค่าเช่าเครื่องจักรกลไปใช้สร้างทาง และค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาเช่าไม่น้อยกว่า 1,824,736.10 บาท ผู้คัดค้านจึงฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความลดยอดหนี้เหลือเพียง1,400,000 บาท ชำระหนี้ในวันทำสัญญา 525,000 บาท หนี้ที่เหลือจะเริ่มชำระครั้งแรกในปีที่ 5 โดยจะผ่อนชำระให้เสร็จภายใน 10 ปี การกระทำดังกล่าวมิได้มีเจตนาที่จะให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น แต่เป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยเจตนาสุจริตที่จะบรรเทาภาระการชำระหนี้ของผู้ล้มละลายให้สามารถดำเนินกิจการแก้ไขฐานะของตนให้ดีขึ้นไม่เข้าลักษณะที่จะพึงเพิกถอนได้ตามกฎหมายล้มละลาย เงิน 525,000 บาท ที่ผู้คัดค้านได้รับก็เป็นเงินที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เป็นผู้จ่าย ไม่ใช่เป็นการโอนทรัพย์สินบางอย่างของผู้ล้มละลายโดยตรง ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างบริษัทจำเลยกับบริษัทผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 525,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

ผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บริษัทจำเลยประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทางให้แก่กรมทางหลวง ก่อนถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายบริษัทจำเลยเป็นหนี้สินอยู่ประมาณ 100 ล้านบาทเศษ โดยมีเจ้าหนี้ประมาณ 40 กว่ารายต่อมาผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งได้ยื่นฟ้องบริษัทจำเลย แล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีข้อความตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายคำคัดค้านใจความว่า บริษัทจำเลยชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านในวันทำสัญญาเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 525,000 บาท ส่วนที่ยังค้างอยู่ บริษัทจำเลยจะชำระให้เสร็จภายใน 10 ปี และจะเริ่มชำระครั้งแรกในปีที่ 5 เป็นต้นไปจนกว่าจะหมดสิ้น หลังจากนั้นผู้คัดค้านได้ถอนฟ้องคดี โดยผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จำนวนเงิน 525,000 บาท จากบริษัทจำเลยแล้ว อันเป็นการกระทำในระหว่างระยะเวลา 3 เดือนก่อนที่โจทก์จะฟ้องบริษัทจำเลยให้เป็นบุคคลล้มละลายในคราวเดียวกันนั้นมีเจ้าหนี้อื่นอีก 7-8 รายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความทำนองเดียวกันนั้นกับบริษัทจำเลยด้วย เป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยหาได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 40 กว่ารายโดยทั่วหน้ากันไม่ขณะนั้นบริษัทจำเลยมีฐานะการเงินไม่ดี จนถึงกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สั่งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมการเงินของบริษัทจำเลย และตามสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายคำคัดค้านก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า บริษัทจำเลยมีฐานะการเงินพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้เฉพาะเท่าที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ 8 – 9 ราย และชำระหนี้ได้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่ยังค้างอยู่นั้นขอผัดชำระไปเป็นระยะเวลายาวนานถึง 10 ปีโดยจะชำระครั้งแรกในปีที่ 5 เป็นต้นไปจนกว่าจะหมดสิ้น เห็นได้ว่าที่บริษัทจำเลยชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านไปตามจำนวนดังกล่าว ย่อมทำให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นซึ่งมิได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย จึงเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งประสงค์ให้เจ้าหนี้ทั้งหลายได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาคทั่วหน้ากันคดีฟังได้ชัดแจ้งว่าบริษัทจำเลยกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทจำเลยได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทจำเลยผู้ล้มละลายจึงขอให้เพิกถอนการชำระหนี้เอาเงินที่ได้ชำระหนี้ไปจำนวน 525,000 บาท กลับคืนมาเข้ากองทรัพย์สินของบริษัทจำเลยผู้ล้มละลายได้ตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share