คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำบรรยายฟ้องที่ถือว่าไม่เคลือบคลุม และฟ้องไม่ขาดอายุความ
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งข้าวไปจำหน่ายเพื่อบรรเทาความขาดแคลนของราษฎรและมอบให้กระทรวงเศรษฐการกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินการกระทรวงเศรษฐการจัดส่งข้าวไปที่คลังข้าวจังหวัดชุมพรแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดระนองเป็นผู้ไปรับข้าวจากคลังจังหวัดชุมพรไปยังจังหวัดระนองและจัดการจำหน่ายแก่ประชาชนในการขนข้าวจากชุมพรไปยังระนองนั้นกระทรวงมหาดไทยจ้างให้ผู้อื่นเป็นผู้ขน แล้วผู้ว่าราชการจังหวัดระนองก็มอบหมายให้จ่าจังหวัดระนองเป็นผู้รับข้าวและจำหน่ายข้าวเงินที่จำหน่ายข้าวได้จะต้องส่งไปใช้ค่าข้าวแก่กระทรวงเศรษฐการและใช้ค่าจ้างขนส่งข้าวแก่กระทรวงมหาดไทยการดำเนินการของกระทรวงทั้งสองนี้เป็นการปฏิบัติราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องดำเนินการในทางปกครอง มิใช่เรื่องประกอบการค้าขายเมื่อกระทรวงทั้งสองเป็นโจทก์ฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดกับจ่าจังหวัดเรียกเงินที่ค้างชำระจำเลยจะต่อสู้ว่าการค้าข้าวที่กระทรวงทั้งสองทำไปเป็นการนอกเหนืออำนาจหน้าที่เพราะโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์จะทำการค้า จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ทางราชการที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่
การที่กระทรวงทั้งสองนั้นเป็นโจทก์ฟ้องคดีรวมกันมาโดยกระทรวงเศรษฐการเรียกร้องให้ร่วมกันใช้เงินค่าข้าว และกระทรวงมหาดไทยเรียกร้องให้ใช้ค่าขนข้าวเมื่อศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จการพิจารณาพิพากษาแล้วก็ไม่มีเหตุที่จะถือว่าเป็นการผิดกฎหมายและไม่มีเหตุควรยกฟ้องหรือให้โจทก์ไปฟ้องร้องใหม่ และเมื่อมูลกรณีเกิดในเขตศาลจังหวัดระนอง มูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้และจำเลยบางคนมีภูมิลำเนาในเขตศาลนี้โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยทั้งหมดต่อศาลนี้ได้ รวมทั้งจำเลยที่ไม่มีภูมิลำเนาในเขตศาลนี้ด้วย
กระทรวงเศรษฐการส่งข้าวมาให้เจ้าหน้าที่จังหวัดระนองเป็นผู้จัดการจำหน่ายเพื่อบรรเทาความขาดแคลนของราษฎร ไม่ใช่เป็นเรื่องจังหวัดระนองซื้อข้าวมาจำหน่าย ข้าวที่ส่งมาจำหน่ายและเงินที่จำหน่ายได้จึงเป็นของกระทรวงเศรษฐการกระทรวงเศรษฐการมีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าข้าวได้
จ่าจังหวัดได้รับมอบให้เป็นผู้ดำเนินการจำหน่ายข้าว และรู้ระเบียบดีแล้วว่าจะต้องรีบเก็บเงินที่ขายข้าวได้ส่งไปให้กระทรวงเศรษฐการไม่มีเหตุที่จะเข้าใจผิดไปว่าทางจังหวัดจะเอาเงินนี้ไปใช้ในราชการของจังหวัดได้โดยชอบถ้านำเงินนี้จ่ายไปในราชการของจังหวัด แม้จะจ่ายไปตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด ตนก็ไม่พ้นความรับผิด เพราะไม่ใช่ทำตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติการงานในหน้าที่โดยอาการที่เสี่ยงต่อความรับผิดชอบในจ่าจังหวัดที่ตนมอบหมายเองเมื่อจ่าจังหวัดทำละเมิด ตนก็ไม่พ้นความรับผิด
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบในการรับและจำหน่ายข้าวตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการนี้ เมื่อมอบหมายให้จ่าจังหวัดทำหน้าที่นี้ก็ย่อมเป็นการมอบหมายการงานในหน้าที่ของตนให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาดำเนินการ ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดละเลยไม่ควบคุมจนเป็นเหตุให้จ่าจังหวัดกระทำมิชอบกระทรวงเศรษฐการและกระทรวงมหาดไทยเสียหายผู้ว่าราชการจังหวัดก็ต้องรับผิดในความเสียหายด้วยจะอ้างว่าจ่าจังหวัดมิใช่ลูกจ้างของตนและไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติของตัวการต่อตัวแทนหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นจ่าจังหวัดระนองตั้งแต่ 1 มีนาคม 2486 ออกเมื่อ 12 พฤษภาคม 2498 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดระนองต่อจากนายแสวง ทิมทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดคนเก่า ตั้งแต่ 10 มิถุนายน 2492 ถึง 2 พฤศจิกายน 2496 จำเลยที่ 3 เป็นปลัดจังหวัดระนอง รักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งแต่ 2 พฤศจิกายน 2496 ถึง 11 มกราคม 2497 จึงมอบงานแก่จำเลยที่ 4 ซึ่งมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด จนถึง 29 ตุลาคม 2497 ระหว่าง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2492 ถึง 22 กุมภาพันธ์ 2497 กระทรวงพาณิชย์ซึ่งภายหลังโอนอำนาจหน้าที่มาเป็นของโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 1 ได้ส่งข้าวมาจำหน่ายเพื่อบรรเทาความขาดแคลนแก่ประชาชนในจังหวัดระนอง โดยให้นายแสวง ทิมทอง และจำเลยที่ 2, 3, 4 ในขณะดำรงและรักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระนองเป็นผู้รับมาจำหน่าย และจะต้องชำระค่าข้าวรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขนส่งคิดถึงคลังข้าวจังหวัดชุมพรให้แก่โจทก์ที่ 1 เมื่อ 24 เมษายน 2492 โจทก์ที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้แทน ได้ว่าจ้างนายตุลาขนข้าวจากคลังข้าวจังหวัดชุมพรมายังจังหวัดระนองค่าขนนี้ให้คิดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราคาข้าวที่จำหน่าย ชั้นแรกนายแสวง ทิมทอง และจำเลยที่ 2 ได้มอบให้ร้านค้าของจังหวัดดำเนินการจำหน่ายข้าวที่รับมาโดยมีสรรพากรจังหวัดเป็นผู้ดำเนินงาน ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม 2492 จำเลยที่ 2 สั่งให้มอบงานจำหน่ายข้าวของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการจำหน่ายข้าวแต่ลำพัง นับแต่นั้นมา จำเลยที่ 2, 3, 4 ต่างมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการจำหน่ายและรับเงินที่จำหน่ายได้ แล้วทะยอยส่งไปชำระค่าข้าวรวมทั้งค่าขนส่งถึงคลังข้าวจังหวัดชุมพรให้แก่โจทก์ที่ 1 โดยมิได้ชำระเป็นงวด ๆ ข้าวของโจทก์ที่ 1 ที่จำเลยรับมาจำหน่ายเป็นเงิน 12,766,130.96 บาท จำเลยจำหน่ายหมดแล้วแต่ชำระเงินไม่ครบ ค้างอยู่ 147,451.16 บาทเนื่องจากจำเลยที่ 2, 3, 4 ต่างประมาทเลินเล่อมิได้ดูแลการจำหน่ายข้าวและเก็บรักษาเงินที่จำหน่ายได้ จำเลยที่ 1 จึงได้ทำละเมิดเอาเงินที่จำหน่ายข้าวได้เป็นเงิน 197,065.16 บาท ไปใช้เป็นประโยชน์ตนซึ่งเป็นเงินที่จะต้องชำระให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 147,451.16 บาท ค่าขนข้าวจากคลังข้าวชุมพรถึงระนองซึ่งค้างอยู่ 49,614 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้ชำระไปแล้ว ขอให้จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันใช้เงิน 147,451.16 บาทแก่โจทก์ที่ 1 และให้จำเลยที่ 1, 3, 4 ร่วมกันใช้เงิน49,614 บาทแก่โจทก์ที่ 2

จำเลยทั้ง 4 ให้การปฏิเสธความรับผิด ต่อสู้ทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง

ศาลจังหวัดระนองพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 ร่วมกันใช้ค่าข้าวแก่โจทก์ที่ 1 เงิน 98,139.34 บาท จำเลยที่ 1, 3 ร่วมกันใช้ค่าข้าวแก่โจทก์ที่ 1 เงิน 16,356.56 บาท จำเลยที่ 1, 4 ร่วมกันใช้ค่าข้าวให้โจทก์ที่ 1 เงิน 24,141.05 บาท ให้จำเลยที่ 1, 3ร่วมกันใช้ค่าจ้างขนข้าวให้โจทก์ที่ 2 เงิน 25,451.98 บาทจำเลยที่ 1, 4 ร่วมกันใช้ค่าจ้างขนข้าวให้โจทก์ที่ 2 เงิน 24,162.02 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี

จำเลยที่ 1, 3, 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 99,627.41 บาท ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1, 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า

1. ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 2 จะฟ้องคดีรวมกันไม่ได้ (เพราะผลประโยชน์ไม่ใช่ร่วมกัน มูลความแห่งคดีก็เป็นคนละเรื่อง) นั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นการพิจารณาและพิพากษาคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะถือว่าการดำเนินกระบวนพิจารณามานั้นเป็นการผิดกฎหมาย และไม่มีเหตุอันสมควรจะยกฟ้องโจทก์หรือให้โจทก์ไปฟ้องร้องว่ากล่าวใหม่ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

2. ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ตามฟ้องว่า ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม หน้าที่จำหน่ายข้าวตกมาอยู่ที่จำเลยที่ 1 การชำระราคาข้าวมิได้ส่งไปชำระให้โจทก์ที่ 1 เป็นงวด ๆ ให้ตรงตามจำนวนข้าวที่โจทก์ที่ 1 ส่งมา แต่ได้ทะยอยส่งมาเรื่อย ๆ เป็นการผิดระเบียบและข้อตกลง จึงเกิดเป็นการผิดนัดชำระหนี้สืบมาจนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2497 ในช่วงระยะเวลานี้ต้องเข้าใจว่ามูลละเมิดเกิดแล้วโจทก์จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2499 ฟ้องจึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า ทางพิจารณาได้ความว่าในทางปฏิบัติได้มีการผ่อนผันให้นำเงินราคาข้าวชำระแก่โจทก์ที่ 1 เมื่อจังหวัดขายข้าวได้เงินมาแล้ว จึงได้มีการทะยอยส่งเงินและคิดหักกับราคาที่ส่งไปแล้ว จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้เมื่อรับข้าวไปแต่ละงวด และไม่อาจรู้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ส่งเงินสำหรับงวดไหนเป็นเงินเท่าใด แม้เมื่อส่งข้าวงวดสุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจถือว่าผิดนัดตั้งแต่นั้นหรือตั้งแต่เมื่อใด เพราะยังไม่อาจรู้ว่าเก็บเงินค่าขายข้าวได้เมื่อใด จึงยังไม่อาจรู้ว่าจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจเริ่มนับอายุความตามนัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ได้

3. ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา คือ เงินที่จ่ายทดรองซื้อรถยนต์ไว้ใช้ในราชการ 1 คัน กับจ่ายให้บุคคลบางคนยืมไป 3 รายจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดนั้น จำเลยที่ 1 ก็ยอมรับว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการจำหน่ายข้าวของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมอบให้เป็นผู้ดำเนินการจำหน่าย และรู้ระเบียบดีแล้วว่าจะต้องรีบเก็บเงินค่าขายข้าวได้ส่งไปให้โจทก์ที่ 1 เงินนี้มิใช่เงินในงบประมาณของจังหวัด ไม่มีเหตุจะให้เข้าใจผิดไปว่าทางจังหวัดจะเอาเงินนี้ไปใช้ในราชการของจังหวัดได้โดยชอบ แม้จะจ่ายไปตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่ใช่ทำตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จะอ้างมาแก้ตัวให้พ้นความรับผิดไม่ได้

4. ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า การขายข้าวรายนี้เป็นการที่จังหวัดระนองซื้อเชื่อข้าวจากโจทก์ที่ 1 มาขายแล้วส่งเงินให้เมื่อขายแล้วจังหวัดระนองจึงเป็นเจ้าของเงิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้นเห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่ปฏิบัติต่อกัน แสดงว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดส่งข้าวมาให้เจ้าหน้าที่จังหวัดระนองเป็นผู้จัดการจำหน่ายเพื่อบรรเทาความขาดแคลนของราษฎรในจังหวัดนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องจังหวัดระนองซื้อข้าวมาจำหน่าย ข้าวที่ส่งมาจำหน่ายและเงินที่จำหน่ายข้าวได้คงเป็นของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้อง

5. ได้ความว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ตั้งกรรมการตรวจรับข้าวของจังหวัดระนอง แต่ทางปฏิบัติปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไปรับข้าวแต่ผู้เดียวโดยกรรมการอื่นไม่ได้ไปตรวจรับ จึงเป็นช่องทางให้จำเลยที่ 1 ปิดบังไม่ลงบัญชีรับข้าวของจังหวัดระนองโดยกรรมการอื่นหรือจังหวัดไม่รู้ การปฏิบัติดังกล่าวเป็นมาช้านานแล้ว เห็นว่า การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดปล่อยให้จำเลยที่ 1 ไปรับข้าวแต่ผู้เดียวแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ลงบัญชีรับข้าวของจังหวัด (จำนวน 177 กระสอบในสมัยที่จำเลยที่ 4 เป็นผู้ว่าราชการฯ) เลยไม่มีการชำระเงินค่าข้าวนั้นเป็นการปฏิบัติที่เสี่ยงต่อความรับผิดชอบในคนที่ตนมอบหมายเองจำเลยที่ 4 จึงไม่พ้นความรับผิด

6. ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดมิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 4โจทก์จะขอให้รับผิดร่วมกันไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้เป็นไปเช่นโจทก์ขอ ทั้งไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติของตัวการต่อตัวแทนซึ่งจะต้องรับผิดชอบแทนกัน นั้น เห็นว่า ตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการส่งข้าวไปบรรเทาความขาดแคลนของราษฎรนั้น พึงเห็นได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบในการรับและจำหน่ายข้าวการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้จำเลยที่ 1 ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนทำหน้าที่รับและจำหน่ายข้าว ก็ย่อมเป็นการมอบหมายการงานในหน้าที่ของตนให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาดำเนินการ และย่อมมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เมื่อจำเลยที่ 4 ละเลยไม่ควบคุมจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 กระทำการมิชอบเกิดเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 ก็ต้องรับผิดในความเสียหายด้วย

7. ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่มีรายละเอียดว่าจำเลยทำผิดระเบียบแบบแผนเรื่องอะไร ลงวันเดือนปีใด ข้อใดผิดกฎหมายอะไรเป็นมูลละเมิด ไม่มีรายละเอียดว่าจำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดชอบในขณะที่จำเลยที่ 1กระทำละเมิดตอนใด ขาดรายการว่าจำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดชอบเท่าใด มีข้าวส่งไปในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 4 เท่าใด คำฟ้องระบุว่ากระทรวงซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นโจทก์ แต่มิได้บรรยายว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลอย่างไร มีวัตถุประสงค์อย่างใด นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องให้เข้าใจได้แล้วถึงหน้าที่และความประมาทเลินเล่อของจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแสดงรายละเอียดให้จำเลยที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าใจได้เพียงพอแล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงรายละเอียดแห่งระเบียบดังที่จำเลยอ้าง และคดีแพ่งไม่จำต้องอ้างบทกฎหมาย และฟ้องก็อ้างจำนวนที่ให้จำเลยที่ 4 รับผิดแล้ว ตามฟ้องก็ได้ขอให้จำเลยที่ 4ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในเงินทั้งหมด เพราะถือว่าแม้เป็นเงินที่ค้างมาก่อน ก็ยังอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 4 ที่จะต้องควบคุมดูแลให้จำเลยที่ 1 จัดส่งเงินให้โจทก์ อนึ่ง ตามรูปคดีก็เป็นเรื่องปฏิบัติพัวพันกันตลอดมายากที่จะแยกให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการฯ คนใดรับผิดเฉพาะจำนวนใด ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจึงไม่เคลือบคลุม ส่วนที่ไม่ได้บรรยายว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลอย่างไร มีวัตถุประสงค์อย่างใดนั้นเห็นว่าไม่ใช่เรื่องข้อหา ไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในฟ้อง

8. ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า การค้าข้าวที่โจทก์ที่ 1, 2 ทำไปเป็นการนอกเหนืออำนาจและหน้าที่ เพราะโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์จะทำการค้า จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ทางราชการที่จะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดส่งข้าวไปจำหน่ายเพื่อบรรเทาความขาดแคลนของราษฎร และมอบหมายให้โจทก์ทั้งสองดำเนินการการดำเนินการของโจทก์ทั้งสองเป็นการปฏิบัติราชการตามมติของคณะรัฐมนตรี มิใช่เป็นเรื่องประกอบการค้าแต่เป็นเรื่องดำเนินการในทางปกครอง จึงมิใช่เป็นเรื่องนอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ และการที่โจทก์มอบหมายหน้าที่การงานแก่จำเลย ก็เป็นการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติในทางราชการ ข้อฎีกานี้จึงตกไป

9. ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นส่วนตัว แต่มิได้ฟ้องจำเลยที่ 4 ยังภูมิลำเนาของจำเลย ศาลจังหวัดระนองไม่มีอำนาจพิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ 4 นั้นเห็นว่า มูลกรณีเรื่องนี้เกิดในเขตศาลจังหวัดระนอง มูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้และจำเลยอื่นที่ถูกฟ้องร่วมด้วยมีภูมิลำเนาในเขตศาลจังหวัดระนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5ให้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยคนใดมีภูมิลำเนาอยู่ก็ได้

พิพากษายืน

Share