แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับราชการทำหน้าที่สมุห์บัญชีเกี่ยวกับการเงิน ได้รับเงินผลประโยชน์จากผู้ที่นำมาชำระ แต่มิได้นำเงินส่งคลัง ทั้งมิได้ลงบัญชีรับเงินตามระเบียบ จนกระทั่งผู้บังคับบัญชาไปตรวจบัญชีพบการกระทำของจำเลยเป็นเวลาถึงสองเดือนแม้จำเลยจะหาเงินมาชำระคืนครบถ้วนแล้วก็ตามนับว่าคดีมีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานประจำสำนักงานป่าไม้ ทำหน้าที่เป็นสมุห์บัญชีและรับผิดชอบการเงินตลอดจนนำผลประโยชน์ส่งคลังจังหวัด จำเลยบังอาจเบียดบังเงินค่าภาคหลวง ค่าบำรุงป่า และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำฟืน รวม 8,001 บาท เอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกเงินรายนี้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าจำเลยทำเงินตกหาย ฟังว่าจำเลยเบียดบังเงินรายนี้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 3 ให้จำคุกจำเลย 5 ปี ปราณีลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 2 ปี 6 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับราชการประจำสำนักงานป่าไม้จังหวัดพิจิตร ทำหน้าที่สมุห์บัญชีและรักษาเงินผลประโยชน์ของกรมป่าไม้ มีหน้าที่นำเงินผลประโยชน์ส่งคลังจังหวัด เมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2504 จำเลยได้รับเงินค่าภาคหลวงไม้ฟืน ค่าบำรุงป่าและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำฟืน รวม 8,001 บาท ไว้จากนายธวัชเจ้าหน้าที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ผู้นำมาชำระ ตามระเบียบจำเลยต้องลงบัญชีรับเงินและนำส่งคลังจังหวัดในตอนบ่าย ตอนบ่ายจำเลยเขียนใบนำเงินเพื่อส่งคลังให้ป่าไม้จังหวัดผู้บังคับบัญชาลงชื่อ แต่แล้วจำเลยหาได้นำเงินส่งคลังไม่ ทั้งมิได้ลงบัญชีรับเงินตามระเบียบการกระทำของจำเลยดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาไม่ทราบ ต่อมาวันที่ 12พฤษภาคม 2504 จำเลยหาเงินได้ครบจึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จึงให้จำเลยนำเงินส่งคลังจังหวัด
ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยรับเงินแล้วไม่ลงบัญชีและไม่นำเงินส่งคลังจังหวัดในวันเดียวกันอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของกรมป่าไม้ที่วางไว้ซึ่งจำเลยทราบดี และได้เคยปฏิบัติเป็นปกติตลอดมาจนผู้บังคับบัญชาไปตรวจบัญชีพบการกระทำของจำเลยเข้าเองภายหลังเป็นเวลาถึง 2 เดือน ครั้นผู้บังคับบัญชาสอบถาม จำเลยก็รับว่านำเงินไปใช้หนี้คนอื่นหมด พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมาประกอบกันมีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจริงตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมาชอบด้วยรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย