แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยข่มขืนใจผู้เสียหายคดีนี้กับผู้เสียหายอื่นในคดีก่อนในวันเดียวกันใช้วิธีการอย่างเดียวกัน และสถานที่เกิดเหตุเดียวกันก็ตาม แต่จำเลยได้กระทำต่อผู้เสียหายต่างรายกันและเรียกค่าไถ่ทรัพย์สินจากผู้เสียหายแต่ละรายมากน้อยแตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินของผู้เสียหายแต่ละคนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาแยกการกระทำของตนเป็นหลายกรรมต่างกัน ถือว่าจำเลยกระทำการหลายกรรมต่างกัน การกระทำของจำเลยคดีนี้จึงเป็นคนละกรรมต่างกันกับการกระทำของจำเลยในคดีก่อนของศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2543 เวลากลางวัน จำเลยข่มขืนใจนายอาวินด์ ซิงห์ ผู้เสียหาย ให้ยอมให้หรือยอมจะให้เงิน 800 บาท แก่จำเลย โดยจำเลยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้เสียหาย จำเลยได้ยึดกระเป๋าผ้าไนลอน 1 ใบ ราคา 300 บาท และทรัพย์สินประเภทเสื้อผ้าที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าดังกล่าว ได้แก่ เสื้อผ้า 150 ตัว ราคา 15,000 บาท และผ้าส่าหรี 12 ผืน ราคา 1,440 บาท รวมราคาทรัพย์ 16,740 บาท ของผู้เสียหายซึ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศทางท่าอากาศยานกรุงเทพไว้ โดยจำเลยไม่มีอำนาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แล้วขู่เข็ญผู้เสียหายว่าจะแจ้งเจ้าพนักงานจับผู้เสียหาย หรือจะทำลายทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ยึดไว้ หากผู้เสียหายไม่ยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยเป็นค่าไถ่ทรัพย์สินดังกล่าว ผู้เสียหายกลัวว่าจะถูกจับหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้จะถูกทำลาย จึงตกลงยินยอมจะให้เงิน 800 บาท แก่จำเลยตามที่ถูกจำเลยข่มขืนใจ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 จำคุก 2 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 211 – 212/2546 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นการกระทำคราวเดียวเจตนาเดียวและมูลคดีเดียวกับผู้เสียหายสามคน คือผู้เสียหายคดีนี้ นายธรรม ดีโอกุปต้า และนายอาจิต กุมารราย ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 211 -212/2546 ของศาลชั้นต้น ในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำการอันเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสองให้ยอมมอบเงินให้แก่จำเลยโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพหรือทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง จำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 211 – 212/2546 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2543 เวลากลางวัน จำเลยข่มขืนใจนายธรรม ดีโอกุปต้า ผู้เสียหายที่ 1 และนายอาจิต กุมารราย ผู้เสียหายที่ 2 ให้ยอมให้หรือยอมจะให้เงินคนละ 1,400 บาท แก่จำเลย โดยจำเลยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสอง โดยจำเลยได้ยึดกระเป๋าผ้าไนลอนของผู้เสียหายทั้งสองคนละ 2 ใบ และผ้าส่าหรีที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าดังกล่าวคนละ 60 ผืน รวมราคาทรัพย์สินคนละ 9,000 บาท ที่ผู้เสียหายทั้งสองนำเข้ามาจากต่างประเทศทางท่าอากาศยานกรุงเทพไว้ แล้วขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองว่าจะแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม หรือจะทำลายทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองที่ยึดไว้ หากผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยเป็นค่าไถ่ทรัพย์สินดังกล่าว ผู้เสียหายทั้งสองกลัวว่าจะถูกจับหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้จะถูกทำลาย จึงตกลงยินยอมจะจ่ายเงินให้คนละจำนวน 1,400 บาท แก่จำเลยตามที่ถูกจำเลยข่มขืนใจ เห็นว่า แม้จำเลยข่มขืนใจผู้เสียหายคดีนี้กับผู้เสียหายทั้งสองในคดีดังกล่าวในวันเดียวกัน ใช้วิธีการอย่างเดียวกัน และสถานที่เกิดเหตุเดียวกันก็ตาม แต่จำเลยได้กระทำต่อผู้เสียหายต่างรายกันและเรียกค่าไถ่ทรัพย์สินจากผู้เสียหายแต่ละรายมากน้อยแตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินของผู้เสียหายแต่ละคนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาแยกการกระทำของตนเป็นหลายกรรมต่างกัน ถือว่าจำเลยกระทำการหลายกรรมต่างกัน การกระทำของจำเลยคดีนี้จึงเป็นคนละกรรมต่างกันกับการกระทำของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 211 – 212/2546 ของศาลชั้นต้น แม้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโจทก์และคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม ฟ้องโจทก์คดีนี้ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่มีระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน