แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขงของกองทัพเรือ แล้วส่งจำเลยที่ 2 กับพวกไปดำเนินงาน ผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ก็ได้ไปตรวจงานก่อสร้างด้วยตนเอง ในบริเวณสถานที่ก่อสร้างได้ปักป้ายชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ไว้ด้วย และไม้แปรรูปที่จำเลยที่ 2 ซื้อจากโจทก์ทั้งสามก็นำมาใช้ในกิจการก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ตรงตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารที่ทำการหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขงของกองทัพเรือที่ตำบลพานพร้าว อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่และตัวแทนของจำเลยที่ 1 มีอำนาจดำเนินการจัดหาซื้อวัสดุและเครื่องอุปกรณ์ในการก่อสร้างและแรงงานตลอดจนควบคุมการก่อสร้างด้วยในระหว่างทำการก่อสร้าง จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้ซื้อไม้แปรรูปต่าง ๆ อันเป็นอุปกรณ์ในการก่อสร้างจากโจทก์ที่ 1 รวมเป็นเงิน 14,880 บาท จากโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 17,160บาท และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 52,788 บาท โจทก์ได้ทวงเงินจากจำเลยทั้งสองแล้วไม่ยอมชำระให้ ขอให้จำเลยร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ตามจำนวนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ทั้งสามสำนวนให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงของกองทัพเรือ จำเลยที่ 1 ไม่เคยแต่งตั้งจำเลยที่ 2เป็นเจ้าหน้าที่หรือตัวแทน หรือเชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดเฉลิมวิทย์ก่อสร้างซึ่งทำสัญญาจ้างเหมาแรงงานทำการก่อสร้างหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงไปจากจำเลยที่ 1 อีกทอดหนึ่งโดยมีข้อสัญญาระหว่างกันไว้ว่าการสั่งซื้อวัสดุต่าง ๆ ห้างหุ้นส่วนจำกัดเฉลิมวิทย์ก่อสร้างต้องให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกคำสั่งถึงผู้ค้าวัสดุโดยตรง จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจสั่งซื้อโดยพลการ หากจำเป็นจะต้องซื้อเองก็ต้องชำระเงินสด ทั้งข้อสัญญาระบุไว้ชัดว่าห้ามห้างหุ้นส่วนจำกัดเฉลิมวิทย์ก่อสร้างทำนิติกรรมหรือก่อหนี้สินในนามจำเลยที่ 1 ถ้าผิดสัญญาจำเลยที่ 1 มีสิทธิเลิกสัญญาได้ทันที ที่โจทก์ยอมให้สินเชื่อแก่จำเลยที่ 2 เป็นเรื่องความเชื่อถือที่มีต่อจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่เคยรู้เห็น ไม่เคยทราบการซื้อวัสดุตามฟ้อง หากจำเลยที่ 2 สั่งซื้อวัสดุจากโจทก์ ก็เป็นการสั่งเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 เอง ไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ทั้งสองสำนวนให้การเป็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2เป็นเจ้าหน้าที่และตัวแทนของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในหนี้สินเป็นส่วนตัวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระต้นเงินแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน14,880 บาท 17,160 บาท และ 52,788 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยยกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3จำนวน 14,880 บาท 17,160 บาท 52,788 บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงของกองทัพเรือ โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดเฉลิมวิทย์ก่อสร้าง ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรับช่วงงานไปจากจำเลยที่ 1 ในการนี้นายเกียรติกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งไปยังนาวาเอกดำรงค์ประธานกรรมการตรวจการจ้างของกองทัพเรือ ขอรับมอบสถานที่ก่อสร้างเพื่อดำเนินการก่อสร้าง โดยส่งจำเลยที่ 2 กับพวกไปดำเนินงาน อ้างว่าบุคคลทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทจำเลยที่ 1 ระหว่างก่อสร้างจำเลยที่ 2 ซื้อเชื่อไม่แปรรูปจากโจทก์ไปใช้ในการก่อสร้างดังกล่าว นายเกียรติกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ไปตรวจงาน ณ สถานที่ก่อสร้างด้วย แล้ววินิจฉัยว่าสัญญารับเหมาช่วงงานระหว่างจำเลยที่ 1 กับห้างหุ้นส่วนจำกัดเฉลิมวิทย์ก่อสร้างทำขึ้นเป็นการภายใน บุคคลภายนอกไม่มีผู้ใดทราบ โจทก์ทั้งสามก็ไม่เคยทราบ การที่จำเลยที่ 1เป็นผู้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขงของกองทัพเรือดังกล่าว แล้วส่งจำเลยที่ 2 กับพวกไปดำเนินงาน นายเกียรติกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ก็ได้ไปตรวจงานก่อสร้างด้วยตนเอง ในบริเวณสถานที่ก่อสร้างยังได้ปักป้ายชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ไว้ด้วย และไม้แปรรูปที่จำเลยที่ 2ซื้อจากโจทก์ทั้งสามก็นำมาใช้ในกิจการก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ตรงตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2ออกแสดงเป็นตัวแทนของตน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทน
พิพากษายืน