แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในระหว่างที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นในคดีที่ผู้ร้องคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยได้พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจึงย่อมมีผลผูกพันทั้งฝ่ายจำเลยและผู้ร้องนับตั้งแต่ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่คำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ดังนั้น แม้ผู้ร้องและจำเลยจะได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้นและคดียังไม่ถึงที่สุดก็ตามหากไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรืองดเสียแต่ประการใด ผู้ร้องก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท แม้ว่าที่พิพาทจะยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ตาม
ย่อยาว
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะเป็นทายาทของพระยาศิริชัยบุรินทร์ให้ใช้เงินค่าภาษีอากรพร้อมทั้งเงินเพิ่มเบี้ยปรับที่พระยาศิริชัยบุรินทร์ค้างชำระ ต่อมาโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยยอมชำระค่าภาษีให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระภายในกำหนด โจทก์จึงบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดที่ 18787 และ 18788 เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ค่าภาษี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดทั้งสองแปลงเป็นที่ดินของผู้ร้อง โดยเดิมผู้ร้องได้ตกลงซื้อที่ดินจำนวนสามแปลงจากพระยาศิริชัยบุรินทร์ ราคา 20,000 บาท ซึ่งอยู่ในระหว่างแบ่งแยกโฉนดและผู้ร้องได้ชำระค่าที่ดินครบแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินแบ่งแยกเสร็จตามโฉนดเลขที่ 18787, 18788 และ 18796 แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนโฉนดต่อกัน ภายหลังผู้รับมอบอำนาจจากพระยาศิริชัยบุรินทร์ไม่ยอมโอนให้ กลับเรียกร้องค่าที่ดินเพิ่มขึ้น ผู้ร้องจึงฟ้องขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามโฉนดข้างต้น ระหว่างพิจารณาคดีพระยาศิริชัยบุรินทร์ถึงแก่กรรม จำเลยเข้ารับมรดกความแทนพระยาศิริชัยบุรินทร์ในที่สุดศาลชั้นต้นพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้อง ก็ไม่สามารถไปทำการโอนหรือไม่ยอมไปทำ ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ที่ดินมีโฉนดทั้งสามแปลงจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องนับแต่วันศาลพิพากษาและผู้ร้องอยู่ในฐานะที่จะขอให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์เพิ่งนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่พิพาทสองแปลง เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ทำให้ผู้ร้องเสียหาย เพราะผู้ร้องเคยแจ้งให้ฝ่ายโจทก์กับสรรพากรจังหวัดทราบก่อนนานแล้วว่า พระยาศิริชัยบุรินทร์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงอื่น ๆ อีกหลายสิบแปลง ขอให้จัดการยึดที่ดินเสีย แต่ฝ่ายโจทก์กับสรรพากรจังหวัดก็ไม่จัดการยึดอย่างใด แม้ขณะนี้ที่ดินและทรัพย์สินอื่นของพระยาศิริชัยบุรินทร์หรือที่ฝ่ายจำเลยรับโอนมรดกไปแล้วก็ยังมีท่วมท้นมากกว่าเงินค่าภาษี ขอให้มีคำสั่งให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18787 และ 18788
โจทก์ให้การว่า ในคดีก่อนที่ผู้ร้องฟ้องพระยาศิริชัยบุรินทร์นั้น เป็นเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ขอบังคับให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 18787, 18788 และ 18796 ให้ผู้ร้องหากที่ดินไม่อยู่ในสภาพเปิดช่องให้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องเป็นเงิน 240,000 บาท ซึ่งแสดงว่าผู้ร้องไม่มีฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาในคดีดังกล่าวให้จำเลยในคดีนั้นจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินข้างต้นทั้งสามแปลงให้แก่ผู้ร้อง ถ้าที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในสภาพอันเปิดช่องให้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้คืนเงิน 20,000 บาท ที่พิพาทจึงยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะคำพิพากษามีเงื่อนไขและคดียังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ โดยที่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวกับจำเลยได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะที่ขอให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนบุคคลอื่น ทั้งหนี้ของโจทก์ตามคำพิพากษาในคดีนี้เป็นบุริมสิทธิเหนือทรัพย์ของจำเลยผู้ร้องเพิ่งยื่นเรื่องขอให้ระงับการขายทอดตลาดและแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยมีที่ดินอื่นอยู่อีก ภายหลังจากโจทก์ยึดที่ดินประกาศขายทอดตลาดแล้ว ซึ่งจำเลยจะมีที่ดินอื่นอีกจริงหรือไม่ โจทก์กำลังนำสืบหลักฐานอยู่ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้แล้วสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย และวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์สินชิ้นใด ๆ ของจำเลยได้ ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต พิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายต่อไป จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานคู่ความต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในท้องสำนวนพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้วโดยไม่ต้องสืบพยานคู่ความต่อไป แล้ววินิจฉัยว่าในระหว่างที่โจทก์ทำการยึดที่พิพาททั้งสองแปลงเพื่อขายทอดตลาดนั้นศาลชั้นต้นในคดีก่อนที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้อง ได้พิพากษาเกี่ยวกับที่พิพาททั้งสองแปลงว่าให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินตามโฉนดที่ 18787 และ 18788 ให้แก่ผู้ร้องถ้าไม่สามารถไปทำการโอนหรือไม่ยอมโอนไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ฯลฯ ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันคู่ความคดีนั้น คือ ทั้งฝ่ายจำเลยและผู้ร้องนับตั้งแต่ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่คำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และในขณะนี้ก็ไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือกลับ งดเสีย แต่ประการใด ดังนั้นผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แม้ที่พิพาททั้งสองแปลงจะยังมีชื่อพระยาศิริชัยบุรินทร์จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ แต่โจทก์ก็จะบังคับคดียึดที่พิพาททั้งสองแปลงให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องอันอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ถอนการยึดที่พิพาททั้งสองแปลงเสีย