คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3656/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์ไปประเมินราคาที่พิพาทและเสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงขอเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาที่พิพาทซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับไว้ในวันเดียวกันนั้นเองจึงเป็นกรณีที่มีการ คำนวณทุนทรัพย์และเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์นั้นแล้ว โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาท จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยกัน การกำหนดค่าทนายความใช้แทนให้แก่ผู้ชนะคดีต้องถือเอาค่าทนายความในอัตราขึ้นสูงกว่า ตามตาราง 6ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นหลัก ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นสูงกว่าอัตราขั้นสูงตามกฎหมาย แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทวัด ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 957 หมู่ที่ 2 เนื้อที่ 1 ไร่37 ตารางวา เดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่สวนของนางทอง ปลีโรยซึ่งนางทองได้อุทิศที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งหมดให้แก่โจทก์เมื่อประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว ต่อมานายยิ่ง มลทิพย์ บิดาจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกโรงเรือนในที่ดินแปลงดังกล่าว ราษฎรจึงร้องเรียนต่อทางราชการนายอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยมีนายสุวัฒน์ มหารัตน์ ปลัดอำเภอท่าแซะขณะนั้นเป็นประธานกรรมการทำการรังวัด แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจ้าพนักงานรังวัดจึงไม่ได้ปักหลักเขตที่ดินแปลงที่นางทองยกให้ทั้งหมด คงปักหลักเขตเพียงบางส่วน เป็นเหตุให้นายยิ่งฟ้องโจทก์และนายสุวัฒน์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์และนายสุวัฒน์ถอดหลักส่วนที่ปักรุกล้ำออก กับห้ามโจทก์และนายสุวัฒน์หรือบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อมาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้โจทก์และนายสุวัฒน์ชนะคดีตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 47/2515 ของศาลชั้นต้น ซึ่งในคดีดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงยุติว่านางทองได้อุทิศที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่พิพาทในคดีก่อนและที่พิพาทในคดีนี้ให้แก่โจทก์และที่ดังกล่าวตกเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้วแต่ด้วยเมตตาธรรมของเจ้าอาวาสวัดโจทก์ในขณะนั้นยังคงให้นายยิ่งอาศัยอยู่ในที่พิพาทต่อไป แต่นายยิ่งได้นำที่พิพาทในคดีนี้ไปออกหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 957 เป็นชื่อของนายยิ่ง ต่อมานายยิ่งถึงแก่ความตายจำเลยเป็นผู้รับมรดกสืบสิทธิในที่ดินแปลงนี้ต่อมา โจทก์เคยขอให้กรมการศาสนาพิจารณาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ฉบับดังกล่าวกรมการศาสนามีหนังสือถึงผู้ว่าการจังหวัดชุมพร ขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แต่จนกระทั่งบัดนี้ทางราชการยังไม่อาจดำเนินการให้ได้จึงขอให้พิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 957 และให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาท กับห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช่เป็นที่ธรณีสงฆ์ของโจทก์โจทก์ไม่เคยให้นายยิ่งอยู่อาศัยในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินส่วนที่นางทอง ปลีโรย อุทิศให้แก่โจทก์โจทก์ไม่เคยครอบครองเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 957 และให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาท กับห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งหมด ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า คดีนี้ยังมิได้มีการคำนวณทุนทรัพย์ตามกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ซึ่งพิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ว่า เนื่องจากคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทว่าเป็นของจำเลยจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ให้โจทก์ไปประเมินราคาที่พิพาทและเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มครั้นวันที่ 9 มีนาคม 2538 ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงขอเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอท่าแซะจังหวัดชุมพร ประเมินราคาที่พิพาทเป็นจำนวนเงิน 21,850 บาทคิดเป็นเงินค่าขึ้นศาลจำนวน 546.25 บาท ซึ่งศาลมีคำสั่งรับไว้แล้วในวันเดียวกันนั้นเอง จึงเป็นกรณีที่มีการคำนวณทุนทรัพย์และเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์นั้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ซึ่งพิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยชอบแล้ว
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาท จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยกันการกำหนดค่าทนายความใช้แทนให้แก่ผู้ชนะคดีต้องถือเอาค่าทนายความในอัตราขั้นสูงกว่า ตามตาราง 6ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นหลัก เมื่อปรากฏว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีนี้เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 25,000 บาทซึ่งมีค่าทนายความอัตราขั้นสูงในศาลชั้นต้น 1,200 บาทแต่สำหรับคดีไม่มีทุนทรัพย์กำหนดค่าทนายความในอัตราขั้นสูงในศาลชั้นต้น 3,000 บาทเช่นนี้ ต้องถือเอาอัตราค่าทนายความในคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งมีอัตราสูงกว่ามาใช้บังคับดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นจำนวน 5,000 บาท จึงสูงกว่าอัตราขั้นสูงตามกฎหมาย แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน แต่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นเพียง 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share