แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไนกรนีที่จำเลยรื้อเรือนนอกชานครัวและยุ้งข้าวที่ปลูกหยู่ไนที่ดินของโจทไปนั้น จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานบุคคลมาสืบว่าทรัพย์เหล่านั้นเปนของจำเลยได้
ย่อยาว
ได้ความว่าเนื่องจากคำบังคับของสาลตามคำพิพากสาไนคดีแพ่งแดงที่ ๑๒๐/๒๔๘๕ ไห้จำเลยรื้อเรือนออกจากโฉนดที่ ๕๓๘๐ จำเลยจึงรื้อเรือนหลังไหย่หอกลาง นอกชานครัวและยุ้งข้าวไป โจทจึงฟ้องว่าฉเพาะเรือนหลังไหย่เท่านั้นเปนของจำเลย นอกนั้นเปนของโจท ขอไห้บังคับจำเลยขนเรือน หอกลาง นอกซาน ยุ้งข้าวและครัวมาปลูกไว้หย่างเดิมหรือไช้ค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์ที่โจทฟ้องเปนของจำเลย
สาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้วินิฉัยว่าเรือนที่ปลูกหยู่ไนที่ดินเปนทรัพย์ติดหยู่กับที่ดินตามประมวนกดหมายแพ่ง ฯ มาตรา ๑๐๐ เมื่อจำเลยอ้างว่าเปนเรือนของจำเลย ๆ จะต้องมีนิติกัมหย่างไดหย่างหนึ่งมาสแดงไห้เห็นว่ากรนีมีเหตุผลเปนพิเสส พิพากสาไห้จำเลยแพ้
สาลอุธรน์เห็นว่า จำเลยมีสิทธิที่จะนำสืบตามข้อต่อสู้ได้ หาปิดปากจำเลยไม่ ไห้สาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานไปไห้สิ้นกะแสร์ความ แล้วตัดสินไหม่
โจทดีกาว่าการทีจำเลยไห้การว่าเรือนเปนของจำเลยนั้นเปนการเถียงกดหมายและไม่มีประเด็นที่จะสืบพยานตตามประมวนกดหมายวิธีพิจารนาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗
สาลดีกาเห็นว่า ตามคำพิพากสาของสาลชั้นต้นและสาลอุธรน์ไนคดีแพ่งแดงที่ ๑๒๐/๒๔๘๕ มิได้ชี้ขาดว่าทรัพย์รายพิพาทเปนของโจท ฉะนั้นเมื่อมีประเด็นทุ่มเถียงกันว่าเรือน นอกชาน ครัวและยุ้งข้าวเปนของโจทหรือจำเลยจึงเปนประเด็นที่ควนได้รับการพิจารนาไห้ถ่อนแท้ ประมวนกดหมายแพ่งและพานิชมาตรา ๑๐๐ มิได้ปิดปากจำเลยไม่ไห้ยกขึ้นต่อสู้ คำไห้การของจำเลยที่กล่าวว่าทรัพย์เปนของจำเลยนั้นเปนการปติเสธข้ออ้างของโจท เปนประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้ จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์