คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6796/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นั้น หมายถึงการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่วไปมิใช่เจ้าพนักงานฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ร้อยตำรวจตรี ก. ว่าจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทย ร้อยตำรวจตรี ก. รับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีตำแหน่งเป็นรองสารวัตรฝ่ายสืบสวนสอบสวน ประจำสำนักงานควบคุมชนต่างชาติผู้อพยพกองตำรวจสันติบาล โดยร้อยตำรวจตรี ก. ร่วมทำการสืบสวนสถานภาพของจำเลยตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน การสืบสวนของร้อยตำรวจตรี ก. เกี่ยวกับสถานภาพของจำเลยและการสอบปากคำจำเลยจึงเป็นการกระทำในฐานะเจ้าพนักงาน หาใช่กระทำการโดยปราศจากคำสั่งหรือมิได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาไม่ ดังนั้น การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ร้อยตำรวจตรี ก. ให้กรอกข้อความในแบบสอบปากคำว่า จำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทยทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติเวียดนามหรือญวน มีสถานภาพเป็นคนญวนอพยพมิได้มีสัญชาติไทย และความเท็จนั้นอาจทำให้บุคคลอื่นหรือประชาชนเสียหาย จำเลยย่อมมีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 91, 33พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 และริบบัตรประจำตัวประชาชนของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,137 พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 จำเลยกระทำการอันเป็นความผิดต่างกรรมกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำหรับความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานซึ่งกระทำโดยการยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประจำตัวประชาชนพ.ศ. 2526 มาตรา 14 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี จำเลยกระทำความผิด 2 กระทง จำคุก 4 ปี ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานให้จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 3 เดือน ริบบัตรประจำตัวประชาชนของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์เพียงปัญหาเดียวว่า การที่จำเลยแจ้งแก่ร้อยตำรวจตรีโกเมนว่า จำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทยซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จนั้น จำเลยจะมีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ส่วนข้อหาความผิดอื่นยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเกี่ยวกับปัญหาที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อร้อยตำรวจตรีโกเมนว่าจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทย โจทก์ฎีกาว่าร้อยตำรวจตรีโกเมนได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาโดยชอบให้ร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจอื่นสืบสวนสถานภาพของจำเลยแล้วรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ร้อยตำรวจตรีโกเมนจึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เมื่อจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ร้อยตำรวจตรีโกเมน จำเลยก็ต้องมีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน เห็นว่า ความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นั้น หมายถึงการแจ้งข้อความเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่วไป มิใช่เจ้าพนักงานฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ร้อยตำรวจตรีโกเมนว่าจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทย ร้อยตำรวจตรีโกเมนรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีตำแหน่งเป็นรองสารวัตรฝ่ายสืบสวนสอบสวนประจำสำนักงานควบคุมชนต่างชาติผู้อพยพ กองตำรวจสันติบาล กรมตำรวจ โดยมีพลตำรวจตรีพิบูลย์ กุลละวณิชย์ รองผู้บัญชาการสอบสวนกลางซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการสอบสวนกลางให้ควบคุมงานด้านสันติบาล และพันตำรวจเอกโชติรัตน์จินตวิโรจน์ ผู้กำกับการสำนักงานควบคุมชนต่างชาติผู้อพยพ กองตำรวจสันติบาลกับพันตำรวจโทวิศิษฐ์ เลิศวีรนนท์รัตน์ สารวัตรงานควบคุมผู้อพยพเขต 4 สำนักงานควบคุมชนต่างชาติผู้อพยพซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของร้อยตำรวจตรีโกเมนเบิกความว่าร้อยตำรวจตรีโกเมนร่วมทำการสืบสวนสถานภาพของจำเลยตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2531 ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน การสืบสวนของร้อยตำรวจตรีโกเมนเกี่ยวกับสถานภาพของจำเลยและการสอบปากคำจำเลย จึงเป็นการกระทำในฐานะเจ้าพนักงานหาใช่กระทำการโดยปราศจากคำสั่งหรือมิได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ดังนั้น การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ร้อยตำรวจตรีโกเมนให้กรอกข้อความในแบบสอบปากคำเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 3 ว่า จำเลยเป็นบุคคลสัญชาติไทย ทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าจำเลยเป็นบุคคลสัญชาติเวียดนามหรือญวน มีสถานภาพเป็นคนญวนอพยพมิได้มีสัญชาติไทยและความเท็จนั้นอาจทำให้บุคคลอื่นหรือประชาชนเสียหาย จำเลยย่อมมีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดนี้เสียด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137ให้จำคุก 3 เดือน บัตรประจำตัวประชาชนของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิด ซึ่งศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยมิได้สั่งริบ จึงให้ริบเสีย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33(2) นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share