แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ไม่เกินห้าปี กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากจำเลยที่ 3 ประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาโดยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงลายมือชื่อในคำพิพากษารับรองให้ฎีกาตามมาตรา 221 จำเลยที่ 3 ต้องยื่นคำร้องดังกล่าวพร้อมคำฟ้องฎีกาก่อนพ้นระยะเวลาฎีกา ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคท้าย ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้ยื่นคำร้องมาพร้อมกับคำฟ้องฎีกาจนล่วงพ้นระยะเวลาฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43,157
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางทองอยู่ มารดาของนางสาวสมบูรณ์ ผู้ตายและนายประพล สามีของนางนวลจันทร์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและให้เรียกว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 2 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 การกระทำเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 6 เดือน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า เหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียวและขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 7 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ หากจำเลยที่ 3 ประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาโดยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับรองให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 จำเลยที่ 3 ต้องยื่นคำร้องดังกล่าวพร้อมคำฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ก่อนพ้นระยะเวลาฎีกา แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำเลยที่ 3 ฟังเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2552 จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2552 โดยไม่ได้ยื่นคำร้องตามมาตรา 221 มาพร้อมด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้ว จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยอ้างว่าหลงลืมและผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 โดยไม่มีคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับรองให้ฎีกาตามมาตรา 221 มาด้วย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ภายหลังผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ก็เป็นการสั่งตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ที่มิได้ยื่นพร้อมคำฟ้องฎีกาและล่วงพ้นกำหนดเวลาฎีกาแล้ว เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 221 มาพร้อมกับคำฟ้องฎีกา จนล่วงพ้นกำหนดเวลาฎีกา การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฎีกาและคำสั่งของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 3 มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 3