แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แบบพิมพ์ท้ายอุทธรณ์ของจำเลยมีข้อความว่า “ฯลฯ และรอฟังคำสั่งอยู่ ถ้า ไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ในวันที่จำเลยยื่นอุทธรณ์นั้นเองจึงต้องถือว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว การที่จำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนด 7 วันตามคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174(2).
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกให้รับผิดตามสัญญากู้และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจริงแต่หนี้ดังกล่าวระงับไปแล้ว โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 เบิกเงินหลังจากครบกำหนดตามสัญญาแล้วจำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิด
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกนางป่วยใช้ แซ่โล้ว ภริยาเข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โดยนางป่วยใช้ แซ่โล้ว ทายาทผู้รับมรดกความและจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้เป็นเงิน214,710 บาท 14 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 มีนาคม 2528) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยที่ 1 โดยนางป่วยใช้ แซ่โล้ว ทายาทผู้รับมรดกความและจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน102,938 บาท 77 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 โดยนางป่วยใช้ แซ่โล้ว ทายาทผู้รับมรดกความและจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน 724,542 บาท 83 สตางค์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีในต้นเงิน 695,262 บาท82 สตางค์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 โดยนางป่วยใช้ แซ่โล้ว ทายาทผู้รับมรดกความกับจำเลยที่ 2ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้สำนวนละ 600 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ทั้งสามสำนวน
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
จำเลยที่ 2 ฎีกาทั้งสามสำนวน
ศาลฎีกาพิพากษาว่า “ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่27 มกราคม 2529 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า “รับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 สำเนาให้โจทก์แก้โดยให้จำเลยที่ 2 นำส่งสำเนาภายในกำหนด 7 วันนับแต่วันนี้ ส่งไม่ได้ให้แถลงภายในกำหนด 7 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งอุทธรณ์” ต่อมาในวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2529 เจ้าหน้าที่ธุรการของศาลรายงานศาลชั้นต้นว่า ศาลมีคำสั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 7 วัน แต่จำเลยที่ 2หาได้นำส่งภายในกำหนดไม่ ขอให้ศาลมีคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อสั่ง ต่อมาในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 11กุมภาพันธ์ 2529 ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้วางเงินค่านำส่งวสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ จึงขอวางเงินค่าส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์หรือทนายโจทก์รับไปด้วย เหตุที่วางเงินล่าช้าเนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าทนายโจทก์รับสำเนาอุทธรณ์ไปแล้ว จำเลยที่ 2 มิได้จงใจที่จะไม่วางเงินค่าส่งอุทธรณ์แต่ประการใด ศาลชั้นต้นให้รวมส่งศาลอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ที่จำเลยที่ 2ฎีกาข้อแรกว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นให้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์จะถือว่าจำเลยที่ 2 ทิ้งฟ้องไม่ได้นั้น เห็นว่าเหตุที่อ้างนี้ขัดกับคำแถลงดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เอง ทั้งฎีกาข้อนี้ของจำเลยก็ฟังไม่ขึ้น เพราะแบบพิมพ์ท้ายอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2มีข้อความว่า “ฯลฯ และรอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว”เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวในวันที่จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์นั้นเอง จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้วส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า กฎหมายไม่มีเจตนารมณ์ที่จะนำบทบัญญํติในเรื่องการทิ้งฟ้องมาใช้บังคับเกี่ยวกับการอุทธรณ์ฎีกานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าอุทธรณ์ก็เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) จำเลยที่ 2 เป็นผู้อุทธรณ์ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์เมื่อจำเลยที่ 2มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณืภายในกำหนด 7 วันตามคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ให้อำนาจศาลที่จะสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ และบทบัญญัติในสองมาตราดังกล่าวก็นำมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 246 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบคจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.