แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เหตุบันดาลโทสะอาจเกิดเพราะคำบอกเล่าได้ ไม่จำเป็นต้องประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 บอกจำเลยที่ 1 ว่าผู้ตายซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 มีชู้โดยจำเลยที่ 2 เห็นผู้ตายกับชายชู้เข้าห้องและปิดประตูอยู่ด้วยกัน มีลักษณะว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจิตใจจำเลยที่ 1 อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายทันทีที่ได้รับคำบอกเล่าจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่โดยรับว่าทำร้ายร่างกายผู้ตายจริง แต่ไม่เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 10 ปี คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 คงจำคุก 5 ปี
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยคู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 กับนางวันเพ็ญ ผู้ตาย เป็นสามีภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรส วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 บอกจำเลยที่ 1 ว่า ผู้ตายมีชู้ โดยจำเลยที่ 2 เห็นผู้ตายกับชายชู้เข้าห้องและปิดประตูอยู่ด้วยกัน จำเลยที่ 1 เกิดความโกรธ จึงเดินทางไปพบผู้ตาย ณ ที่เกิดเหตุทันที แล้วทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 หรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ตายซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 มีชู้ และผู้ตายกับชายอื่นเข้าห้องปิดประตูอยู่ด้วยกันมีลักษณะว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจิตใจจำเลยที่ 1 อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม พิจารณาประกอบกับเหตุบันดาลโทสะอาจเกิดเพราะคำบอกเล่าได้ ไม่จำเป็นต้องประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ไปทำร้ายผู้ตายทันทีที่ได้รับคำบอกเล่า อันเป็นการกระทำความผิดในขณะนั้น ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำร้ายผู้ตายโดยบันดาลโทสะ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น ส่วนที่ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ ต้องห้ามฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย แต่สมควรกำหนดโทษใหม่ให้สอดคล้องกับลักษณะความผิด
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก และมาตรา 72 จำคุก 8 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7