แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างงานโครงสร้างระหว่างจำเลยและบริษัท ค. มีข้อกำหนดห้ามมิให้โอนสิทธิเรียกร้องเว้นแต่เฉพาะกับสถาบันการเงินเท่านั้น จึงเป็นกรณีที่คู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 303 วรรคสอง สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์และบริษัท ค. จะมีผลใช้บังคับแก่จำเลยได้หากโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกกระทำการรับโอนสิทธิเรียกร้องโดยสุจริต เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการรับโอนสิทธิเรียกร้องโดยสุจริต อีกทั้งโจทก์มิใช่เป็นสถาบันการเงิน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 18,573,441.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 17,800,947.88 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยว่าจ้างบริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อสร้างงานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรมหลัก (SUPER – STRUCTURES AND MAIN ARCHITECTURAL WORKS) โครงการ คราวน์ พลาซ่า โฮเต็ล (CROWNE PLAZA HOTEL) ถนนสุขุมวิท 27 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2543 บริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ทำสัญญาให้และรับบริการวงเงินเพื่อรับโอนสิทธิเรียกร้องกับโจทก์ ภายในวงเงินไม่เกิน 30,000,000 บาท โดยบริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) มีหน้าที่ต้องแจ้งหรือบอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2548 บริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้โอนสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับชำระหนี้ค่าก่อสร้างในการเบิกเงินงวดงานที่ 29 ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างงานโครงสร้างส่วน SUPER – STRUCTURES AND MAIN ARCHITECTURAL WORKS ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 เป็นเงิน 18,289,101 บาท ซึ่งจะครบกำหนดชำระหนี้วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 ให้แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้จำเลยทราบ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง แต่จำเลยเพิกเฉย
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยว่าจ้างบริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อสร้างงานโครงสร้างและงานสถาปัตยกรรมหลัก (SUPER – STRUCTURES AND MAIN ARCHITECTURAL WORKS) โครงการ คราวน์ พลาซ่า โฮเต็ล (CROWNE PLAZA HOTEL) ถนนสุขุมวิท 27 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ซึ่งตามสัญญาระบุว่า ผู้รับจ้างตกลงจะไม่โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญานี้แก่บุคคลภายนอก เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ว่าจ้างและได้เฉพาะแต่กับสถาบันการเงินเท่านั้น การโอนสิทธิเรียกร้องนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 303 บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าจะพึงโอนกันได้ เว้นไว้แต่สภาพแห่งสิทธินั้นเองจะไม่เปิดช่องให้โอนกันได้ และวรรคสองบัญญัติว่า ความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บังคับ หากคู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่น การแสดงเจตนาเช่นว่านี้ ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ตามสัญญา ข้อ 10 ระหว่างจำเลยและบริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) มีข้อกำหนดห้ามมิให้โอนสิทธิเรียกร้องเว้นแต่เฉพาะกับสถาบันการเงินเท่านั้น จึงเป็นกรณีที่คู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่น ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 303 วรรคสอง สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์และบริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) จะมีผลใช้บังคับแก่จำเลยได้หากโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกกระทำการรับโอนสิทธิเรียกร้องโดยสุจริต ปัญหาว่าโจทก์กระทำการโดยสุจริตหรือไม่นั้น โจทก์ฎีกาอ้างว่าโจทก์เป็นบุคคลภายนอกกระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนให้แก่บริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ไปแล้ว จึงย่อมได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 303 วรรคสอง เห็นว่า นายไชยพงศ์ ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์ เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า บริษัทโจทก์ประกอบธุรกิจในด้านรับโอนสิทธิเรียกร้องจากลูกหนี้ บริษัทโจทก์จะมีฝ่ายกฎหมายคอยตรวจสอบสัญญาให้และรับบริการวงเงินเพื่อรับโอนสิทธิเรียกร้องก่อนที่จะนำไปให้กรรมการบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อในเอกสาร พยานทราบว่าถ้าบริษัทจะทำการโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้รายใดจะต้องแจ้งให้คู่สัญญาทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน โดยผู้รับสัญญาจะต้องส่งเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องที่จะโอน ก่อนมีการโอนสิทธิเรียกร้องบริษัทโจทก์จะต้องตรวจสอบสัญญาก่อนแล้วทุกครั้งและก่อนมีการโอนสิทธิเรียกร้องบริษัทโจทก์น่าจะมีการตรวจสอบข้อมูลในสัญญาก่อน ตามคำเบิกความของนายไชยพงศ์พยานโจทก์ดังกล่าวเมื่อพิจารณาประกอบกับการโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้เป็นจำนวนเงินสูงถึง 18,289,101 บาท จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ต้องได้มีการตรวจสอบสัญญา โดยละเอียดก่อนแล้วและทราบถึงข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญา ข้อ 10 ก่อนที่จะมีการทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องกับบริษัทเค – เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) มาก่อนแล้ว เมื่อโจทก์ทราบถึงข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวแล้ว แต่โจทก์ยังรับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมาเช่นนี้ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงินนั้น เห็นว่าตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 มาตรา 3 บัญญัติว่า ในพระราชบัญญัตินี้ “สถาบันการเงิน” หมายความว่า (1) ธนาคารแห่งประเทศไทย (2) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์ (3) บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (4) สถาบันการเงินอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด วัตถุประสงค์ของบริษัทมหาชนจำกัดของโจทก์มี 19 ข้อ ซึ่งวัตถุประสงค์ในข้อ 6 ระบุว่า กู้ยืมเงิน เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินอื่นและให้กู้ยืมเงินหรือให้เครดิตด้วยวิธีการอื่น โดยจะมีหลักประกันหรือไม่ก็ตาม รวมถึงการรับจำนอง รับจำนำ รับไว้ซึ่งทรัพย์สินหรือหลักประกันต่าง ๆ เพื่อเป็นประกันการขายสินค้าเงินผ่อน การขายสินค้าเงินเชื่อหรือชำระหนี้ของลูกหนี้ต่อบริษัทหรือเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทหรือบุคคลใด ๆ ต่อบริษัทรวมตลอดจนการรับ ออก โอน และสลักหลังตั๋วเงินหรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้อย่างอื่น เว้นแต่ในธุรกิจธนาคาร ธุรกิจเงินทุน และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ซึ่งตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ตามที่ระบุไว้ดังกล่าวเมื่อพิจารณาประกอบกับพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 มาตรา 3 แล้ว บ่งชี้ว่าโจทก์มิใช่เป็นสถาบันการเงิน นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมายืนยันว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงิน ข้ออ้างของโจทก์จึงเลื่อนลอยรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงิน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการรับโอนสิทธิเรียกร้องโดยสุจริต อีกทั้งโจทก์มิใช่เป็นสถาบันการเงิน ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในประการอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลย 20,000 บาท