คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขาดนัดให้การ ไม่มีสิทธิสืบพยาน แต่อ้างตนเองและถามค้านพยานโจทก์ได้ จำเลยถามค้าน พยานโจทก์คนหนึ่งรับว่าโจทก์เช่าที่จากจำเลยตามสัญญาเช่า ศาลวินิจฉัยข้อความในสัญญาเช่านั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2496 โจทก์เข้าถางที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 46 ไร่ มีเขตติดต่อตามที่ระบุในฟ้อง อยู่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีเมื่อถางเตียนแล้วโจทก์ได้ปลูกพืชผล ครอบครองมาจนทุกวันนี้ ทั้งโจทก์ได้แจ้งการครอบครองไว้ตามกฎหมายแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2498 จนถึงวันฟ้อง จำเลยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย บังอาจบุกรุกเข้าไปแย่งการครอบครองหลายครั้งหลายหนตลอดทั้งแปลง และขุดถอนฟัน ทำลายพืชผลต่าง ๆ ของโจทก์เสียหายรวมราคาประมาณ 3,000 บาทโจทก์ว่ากล่าวจำเลยไม่เชื่อฟัง เนื่องจากการรบกวนสิทธิของจำเลยดังกล่าว ทำให้โจทก์ไม่สามารถครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ได้ ต้องขาดประโยชน์ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วจะเหลือประโยชน์ที่ควรได้สุทธิปีละ 2,000 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการที่ทำลายพืชผลของโจทก์ 3,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์มิได้ทำประโยชน์ในที่ดินปีละ 2,000 บาท และต่อไปทุกปีจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์ และโจทก์ตีราคาที่ดินของโจทก์ 5,000 บาท

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ภายหลังที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้วได้ 7 วัน จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอยื่นคำให้การสู้คดีโดยอ้างว่าไม่เจตนาที่จะขาดนัดเพราะได้อพยพไปเสียที่บ้านเดิมตำบลเจ้าเจ็ด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพิ่งกลับ พบหมายเรียกและสำเนาฟ้องที่เจ้าพนักงานไปปิดไว้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2499 (ก่อนหน้ายื่นคำร้องนี้ต่อศาล 1 วัน) จำเลยมีหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารที่จะสู้คดีอย่างพร้อมมูล ศาลสั่งให้ไต่สวนคำร้องจำเลยแต่ครั้นถึงวันนัด ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนจากการเป็นทนายจำเลยตัวจำเลยไม่มาศาลตามเวลานัดโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบศาลจึงสั่งยกคำร้องจำเลยที่ขอยื่นคำให้การต่อสู้คดีนั้นเสีย และในวันเดียวกันนั้น จำเลยก็ได้มาศาลยื่นคำร้องแจ้งเหตุขัดข้องถึงการที่ต้องมาศาลผิดเวลานัด เพราะมัวไปติดตามพยานและเสียเวลาเรื่องรถประจำทางไม่หยุดรับ เพราะคนโดยสารเต็มอัตราขอให้ศาลสั่งเลื่อนการสืบพยานตามคำร้องจำเลยต่อไป แต่ศาลสั่งว่าศาลได้สั่งยกคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยเสียแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเลื่อน (การสืบพยาน) ไปตามคำร้อง ได้สั่งยกคำสั่งยกคำร้องจำเลยที่ขอเลื่อนการไต่สวนคำร้องจำเลยชั้นขอยื่นคำให้การนั้นเสีย และคงดำเนินการพิจารณาคดีโจทก์แต่ฝ่ายเดียวต่อไปตามคำสั่งเดิม

เมื่อศาลจังหวัดชลบุรีพิจารณาเสร็จแล้ววินิจฉัยว่า คำพยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทเห็นได้ว่าสิทธิในที่ดินของโจทก์ไม่ดีไปกว่าจำเลย ประเด็นในเรื่องค่าเสียหายของโจทก์จึงตกไปด้วย เพราะจำเลยกระทำในที่ดินของจำเลย พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับกันไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ฟังว่าข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์เองว่าเมื่อ พ.ศ. 2497 โจทก์ได้เช่าที่ดินของจำเลย 6 ไร่โดยทำสัญญาเช่ากันไว้ นายวิหาร สารวัตรกำนันพยานโจทก์เป็นผู้เขียนสัญญาเช่า และนายวิหารได้เบิกความรับรองว่าแผนที่หลังสัญญา (เช่า) ถูกต้องคือเป็นที่ดินแปลงที่เป็นความกันนี้ คดีไม่มีทางจะฟังเป็นอย่างอื่นว่าที่ดินที่โจทก์เช่าจากจำเลยเป็นที่ดินนอกเขตแผนที่หลังสัญญาเช่า และเมื่อพิจารณาสัญญาเช่าที่โจทก์รับว่าได้ทำไว้โดยละเอียดแล้วยังมีข้อความต่อจากการเช่าที่ดิน 6 ไร่อีกว่า “ถ้านายจำรัส หลวงเมือง (โจทก์) หักร้างทำที่ออกไปจาก 6 ไร่นี้ นายสมพร มีสิงขร (จำเลย) ขอยอมให้ทำพืชผลเป็นจำนวน 2 ปี ล่วงไปแล้วจึงจะคิดค่าเช่า ส่วนที่ 6 ไร่นั้นเป็นจำนวน 2 ปีขึ้นไป นายจำรัส หลวงเมือง จึงจะยอมให้กลับคืนค่าเช่าให้เจ้าของตามเดิม” ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่า นอกจากที่ดิน 6 ไร่ โจทก์จำเลยยังมีข้อตกลงระหว่างกันไว้อีกว่า ถ้าโจทก์หักร้างทำที่ดินของจำเลยต่อไปอีกเมื่อโจทก์ทำเตียนให้มีสิทธิปลูกพืชผลลงในที่นั้นจนเวลาล่วง 2 ปีแล้วจึงจะคิดค่าเช่า ที่โจทก์เบิกความว่าการขอจับจองที่ดินรายนี้ได้แจ้งต่ออำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็ได้ความว่าทางอำเภอไม่รับการจับจองของโจทก์ กำนันก็บอกให้โจทก์ไปขอจับจองต่อผู้ใหญ่บ้าน โจทก์ไม่ได้อ้างผู้ใหญ่บ้านมาสืบ ไม่พอฟังว่าโจทก์ได้จับจองที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของศาลอุทธรณ์เชื่อว่าสิทธิในที่ดิน(พิพาท) เป็นของจำเลยมาก่อน การที่โจทก์เข้าไปหักร้างทำในที่ดิน(พิพาท) โดยอาศัยสิทธิการเช่าจากจำเลยดังกล่าวข้างต้น โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินดีกว่าจำเลย และเมื่อปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่า จำเลยเข้าไปทำลายพืชผลเป็นที่ดินของจำเลย พืชผลเหล่านั้นเป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบของที่ดิน จำเลยมีสิทธิในพืชผลนั้นด้วยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายดังโจทก์ฟ้อง จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้โจทก์เสียค่าทนายในชั้นอุทธรณ์ 100 บาท แทนจำเลย

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะข้อกฎหมายในข้อ 4 และข้อ 5 ซึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นประการใดฉะนั้นปัญหาที่ศาลฎีกาจะพึงวินิจฉัยจึงมีเฉพาะแต่ประเด็นข้อกฎหมายในฎีกาข้อ 4 และข้อ 5 ของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับขึ้นมาเท่านั้น

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฎีกาข้อกฎหมายในข้อ 4 ของโจทก์มีว่ากรณีนี้โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดินพิพาท หากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 5,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การตั้งประเด็นในเรื่องสิทธิในที่ดินรายนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ ศาลต้องวินิจฉัยตามประเด็นในฟ้องโจทก์เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินดีกว่าจำเลยนั้นเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามฟ้องของโจทก์ ศาลจะวินิจฉัยถึงสิทธิของจำเลย โดยจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การและตั้งประเด็นข้อต่อสู้ ไม่ชอบ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงสิทธิในที่ดินพิพาทของจำเลย เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอศาลต้องชี้ขาดคดีตามข้อหาในฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 นั้น ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลจะวินิจฉัยประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ว่า ควรจะขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินซึ่งโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของและบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ ก็จำต้องพิจารณาเสียก่อนว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินนั้นเพียงใด และโจทก์เป็นเจ้าของพืชผลที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทำลายนั้นหรือไม่ ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงสิทธิของโจทก์ในที่ดินรายนี้ จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือวินิจฉัยเกินคำขอตามกฎหมายที่โจทก์กล่าวอ้างประการใดไม่ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงตกไป

ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ในข้อ 5 ที่ว่า ศาลจะรับฟังพยานเอกสารของจำเลย คือ สัญญาซื้อขายที่ดิน แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน และสัญญาเช่าไม่ได้ เพราะจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยไม่มีสิทธิจะอ้างพยานหลักฐานสนับสนุนข้อต่อสู้ของตน ศาลอุทธรณ์รับฟังสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยมาเป็นหลักวินิจฉัยคดี เป็นการรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืน มาตรา 199 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และพยานหลักฐานที่จะนำสาสืบแสดงต่อศาล ต้องเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีจะต้องนำสืบ คดีนี้ จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบเพราะไม่มีประเด็นข้อต่อสู้ศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารสัญญาเช่าที่จำเลยอ้าง ไม่ชอบด้วยมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายที่กล่าวข้างต้น ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองจำเลยผู้ขาดนัดยื่นคำให้การย่อมมีสิทธิสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงสัญญาเช่าที่ดินซึ่งโจทก์เช่าต่อจำเลย ก็เนื่องจากคำเบิกความของพยานโจทก์ตอบคำซักค้านของฝ่ายจำเลยรับเข้ามาเองว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินต่อจำเลยตามสัญญาเช่าฉบับที่ฎีกาโจทก์กล่าวถึงนี้ ศาลอุทธรณ์หยิบยกคำพยานโจทก์นั้นเองขึ้นเป็นหลักวินิจฉัย เมื่อพยานรับรองสัญญาเช่าฉบับนั้น ศาลก็อาจหยิบยกข้อความในสัญญาเช่าที่พยานโจทก์รับรองแล้วขึ้นวินิจฉัยได้หาใช่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังโจทก์อ้างอย่างใดไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ย่อมฟังไม่ขึ้นดุจกัน คดีไม่มีเหตุที่ศาลนี้จะเปลี่ยนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นอย่างอื่น ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์แทนจำเลย

Share