คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6780/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่ 1 เคยฟ้องร้องกันเกี่ยวกับที่พิพาทตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 924/2528 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวกับคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทเช่นเดียวกันว่า จำเลยที่ 1ซื้อที่พิพาทมาโดยชอบหรือไม่ และโจทก์หรือจำเลยที่ 1เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท เมื่อศาลมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 924/2528 ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ก่อนศาลจะวินิจฉัยคดีหมายเลขแดงที่ 924/2528 ก็ตามเมื่อศาลชั้นต้นได้พิจารณาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องอยู่ใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 1171 โดยได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาตั้งแต่ปี 2498 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2521 จำเลยที่ 2ได้ขายฝากที่ดินดังกล่าวต่อนายนวลแล้วมีการโอนขายต่ออีกสามทอดจนถึงจำเลยที่ 1 การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะผู้ขายไม่มีสิทธิและไม่เคยเข้าครอบครองที่ดิน และจำเลยที่ 1 ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1171 ของโจทก์โดยไม่ชอบ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยที่ 1ไม่ยอมคืน ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1171เป็นของโจทก์ การซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 นายนวลจ่าสิบตำรวจศักดิ์สิทธิ์ นายสงวน และจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะให้จำเลยที่ 1 คืน น.ส.3 ก. เลขที่ 1171 แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของและไม่เคยครอบครองที่พิพาท จำเลยที่ 1 ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตชอบด้วยกฎหมาย และได้เข้าครอบครองตลอดมา ก่อนจำเลยที่ 1ซื้อก็มีการซื้อขายเปลี่ยนกรรมสิทธิ์กันมาถึง 4 ครั้ง โจทก์ไม่เคยทักท้วง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียก น.ส.3 ก. คืนขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เคยฟ้องขับไล่โจทก์และจำเลยที่ 2 ออกจากที่พิพาทแปลงนี้ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 924/2528 ของศาลชั้นต้น ซึ่งวินิจฉัยว่าโจทก์ (คือจำเลยที่ 1 ในคดีนี้) เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก โจทก์จะกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์อีกหาได้ไม่ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 925/2528 ย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองนั้น มีผลเพียงทำให้ศาลชั้นต้นต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคดีนั้นเท่านั้น หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ไม่ เว้นแต่เป็นกรณีการฟ้องซ้อนหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ เมื่อศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 924/2528 ในประเด็นข้อใด ทั้งคดีนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการที่โจทก์ฟ้องเรียก น.ส.3 ก. คืนต่างหากออกไป ซึ่งศาลชั้นต้นก็มิได้วินิจฉัย คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้ววินิจฉัยว่า คดีนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 924/2528 มีประเด็นอย่างเดียวกันในข้อที่ว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่พิพาทมาโดยชอบหรือไม่ และโจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทเมื่อคดีหมายเลขแดงที่ 924/2528 ศาลได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้วจึงต้องห้ามมิให้คู่ความดำเนินกระบวนพิจารณาหรือรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคแรกและมาตรา 148 วรรคแรก และโจทก์ไม่มีสิทธิมาฟ้องเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่พิพาทคืน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ ปรากฏว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยรับกันว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้พิพาทกัน ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 924/2528 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวกับคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทเช่นเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่พิพาทมาโดยชอบหรือไม่ และโจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท เมื่อคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 924/2528 ศาลได้มีคำพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ก่อนศาลจะวินิจฉัยคดีแรกก็ตาม เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144เช่นกัน ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share