แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.และจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกรวม 8 คนเข้าหุ้นส่วนทำการขายอาหารในภัตตาคาร น. โดยเช่าภัตตาคาร น. มาจากบริษัท น. ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดย ป.กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้เริ่มก่อการในการประชุมตั้งบริษัทโจทก์ครั้งแรกที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาสัญญาเช่าที่ ป.และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้เริ่มก่อการทำไว้กับบริษัท น.เป็นสัญญาเช่าที่ผูกพันบริษัทโจทก์และต่อเมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกเข้าแย่งดำเนินกิจการภัตตาคาร น.บริษัท น.ก็ได้แจ้งให้บริษัทโจทก์ทราบว่า การบุกรุกและยึดกิจการภัตตาคาร น.เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับบริษัท น.ให้บริษัทโจทก์เข้าดำเนินกิจการภัตตาคารต่อไปดุจเดิม ข้อเท็จจริงเป็นดังนี้จึงน่าเชื่อว่าบริษัทโจทก์เข้าครอบครองภัตตาคาร น.โดยสวมสิทธิการเช่าจากห้างหุ้นส่วนผู้เช่าเดิม บริษัทโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและเรียกค่าเสียหายได้ แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือเช่ากับบริษัท น.ต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเช่าภัตตาคาร น.แต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าก่อนโจทก์จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ผู้เริ่มก่อการได้ทำสัญญาเช่าอาคารห้องอาหารนวลศรีจากบริษัทนวลศรี จำกัดเพื่อดำเนินกิจการจำหน่ายอาหาร และระหว่างขอจัดตั้งบริษัทนายโปะโปย แซ่อุ่ย นายประวิทย์ เรืองดารกานนท์ และนายไต้พงษ์ แซ่หุ่น ได้เช่าส่วนหน้าของอาคารห้องอาหารนวลศรีจากบริษัทศิลป์ไทย จำกัด แล้วดัดแปลงต่อเติมเข้าด้วยกัน ใช้ชื่อร่วมกันว่าภัตตาคารนวลศรี ต่อมาที่ประชุมบริษัทโจทก์รับโอนกิจการสิทธิและหน้าที่เข้าเป็นของบริษัทโจทก์แล้วเข้าครอบครองภัตตาคารนวลศรีตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ดำเนินกิจการต่อมาจนถึงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ กับสามีและพวกได้บุกรุกเข้ายึดถือกิจการตลอดจนทรัพย์สินในภัตตาคารนวลศรี แล้วเข้าดำเนินการเสียเองโดยปราศจากอำนาจ และตั้งบริษัทใหม่ใช้ชื่อว่า บริษัท ภ.ศรีบูรพา จำกัด มีจำเลยที่ ๒,๓,๔ เป็นกรรมการร่วมด้วย ก่อนที่จำเลยกับพวกบุกรุกจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ได้ร่วมกันปลอมแปลงสัญญาเช่าที่ผู้เริ่มก่อการของบริษัทโจทก์ได้จัดทำไว้ขึ้นใหม่ เป็นสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ ๑ และนางอาภรณ์ ชนไมตรี กรรมการบริษัทนวลศรี จำกัด กับจำเลยที่ ๒,๓,๔ เพื่อเป็นมูลอ้างบุกรุกเข้ายึดกิจการของโจทก์ จำเลยที่ ๒,๓,๔ ได้ร่วมจัดตั้งบริษัท ภ.ศรีบูรพา จำกัด จำเลยที่ ๖ ขึ้น เพื่อจะใช้นามบริษัทนี้รับโอนกิจการและทรัพย์สินของโจทก์ไป และจัดให้บริษัทจำเลยที่ ๖ ทำสัญญาเช่าและครอบครองทรัพย์ดำเนินการแทนโจทก์กับบริษัทบูรพาสากลเศรษฐกิจ จำกัด โดยตรงมาแต่เดือนมีนาคม ๒๕๑๔ การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงขอให้บังคับขับไล่จำเลยที่ ๑ ถึง ๖ กับบริวารออกจากร้านอาหารภัตตาคารนวลศรี ส่งมอบทรัพย์สินและใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจากวันฟ้องให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ถึง ๖ ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่เคยเช่าและไม่มีสิทธิในห้องอาหารพิพาทและต่อสู้เป็นประเด็นอื่นอีกหลายประเด็น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม กรรมการบริษัทโจทก์มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์แต่โจทก์ไม่ได้ทำหลักฐานการเช่าภัตตาคารนวลศรีเป็นหนังสือลง ลายมือชื่อโจทก์กับบริษัทนวลศรี จำกัด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องร้องบังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า แต่ได้ฟ้องจำเลยในมูลละเมิดโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่
จำเลยทั้งหกฎีกา
ในปัญหาโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเช่าและครอบครองภัตตาคารนวลศรีนั้น โจทก์มีพยานหลักฐานสัญญาเข้าหุ้นตามเอกสาร ว.๗ ว่านายโปะโปย แซ่อุ่ย ประธานกรรมการบริษัทโจทก์ และจำเลยที่ ๒,๓ กับพวกรวม ๘ คน เข้าหุ้นส่วนทำการขายอาหารในภัตตาคารนวลศรี โดยเช่าภัตตาคารมาจากบริษัทนวลศรี จำกัดและผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดยนายโปะโปยจำเลยที่ ๒,๓ เป็นผู้เริ่มก่อการตามหนังสือบริคณห์สนธิ เอกสาร จ.๘ และตามรายงานการประชุมตั้งบริษัทโจทก์ครั้งแรกตามเอกสาร จ.๑๒ ที่ประชุมลงมติให้ถือเอาสัญญาเช่าที่นายโปะโปยและจำเลยที่ ๒,๓ ผู้เริ่มก่อการทำไว้กับบริษัทนวลศรี จำกัด เป็นสัญญาเช่าที่ผูกพันบริษัทโจทก์กับมีเอกสาร จ.๑๔, ๑๕ อันเป็นบันทึกประจำวันที่นายโปะโปยกับพวกแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ ๑ กับบริวารเข้ามาแย่งดำเนินกิจการภัตตาคารนวลศรี และตามเอกสาร จ.๑๙ บริษัทนวลศรี จำกัด แจ้งให้บริษัทโจทก์ทราบว่าการบุกรุกและยึดกิจการภัตตาคารนวลศรีเป็นการกระทำของจำเลยที่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ บริษัทนวลศรี จำกัด ให้บริษัทโจทก์เข้าดำเนินกิจการภัตตาคารต่อไปดุจเดิม ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า โจทก์เข้าครอบครองภัตตาคารนวลศรีโดยสวมสิทธิการเช่าจากห้างหุ้นส่วนผู้เช่าเดิม มิใช่หุ้นส่วนเดิมเป็นผู้เช่าอยู่ดังที่จำเลยฎีกา โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและเรียกค่าเสียหาย หาได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับการเช่าภัตตาคารนวลศรีแต่อย่างใดไม่ แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือสัญญาเช่ากับบริษัทนวลศรี จำกัดต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน