คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6741/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้ ส. และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทร่วมกันและเป็นผู้จำนองที่ดินและบ้านพิพาทแก่ธนาคาร พ. ร่วมกัน แต่ ส. และจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วน โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ในคดีแพ่งหมายเลยแดงที่ 317/2543 ของศาลชั้นต้น จึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดทรัพย์ทั้งแปลงได้ ส. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิเพียงร้องขอให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดตามส่วนของตนเท่านั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 เมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาจากการขายทอดตลาดดังกล่าวโดยติดจำนองกับธนาคาร พ. และโจทก์ได้รับโอนสิทธิครอบครองและสิทธิจำนองมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2545 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ สิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทรวมทั้งสิทธิจำนองกับธนาคาร พ. ของ ส. และจำเลยที่ 2 โอนไปยังโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์แล้ว จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ส. และจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทอีกต่อไป จำเลยทั้งสองไม่อาจอ้างว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ส. ได้
เมื่อสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทรวมทั้งสิทธิจำนองกับธนาคาร พ. ของ ส. และจำเลยที่ 2 ได้โอนไปยังโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแล้ว ส. และจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทอีกต่อไป กรณีจึงไม่มีความจำเป็นต้องเรียก ส. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1543 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 165 จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 317/2543 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองทราบดีว่าโจทก์ซื้อที่ดินแปลงนี้มาแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินและบ้านของโจทก์อีกต่อไปจึงบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่ดินของโจทก์ที่จำเลยทั้งสองอยู่หากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท โจทก์ขอถือเป็นค่าเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากบ้านเลขที่ 165 ของโจทก์และออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินและบ้านของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองได้ออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทตามฟ้องโดยอาศัยสิทธิของนายสมภาสหรือภาณุวิชญ์เจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองอีกคนหนึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งนายสมภาสมิได้เป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาและไม่ทราบถึงการบังคับคดีและการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านพิพาท โจทก์จึงได้ถือครอบครองสิทธิร่วมกับนายสมภาสในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 เท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านและที่ดินพิพาท ฟ้องของโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าที่ดินและบ้านของโจทก์กว้างและยาวเท่าใด แต่ละด้านจดที่ดินของใครบ้าง จำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในที่ดินตรงไหนและมิได้บรรยายว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินและบ้านพิพาทเมื่อใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม และที่ดินพิพาทหากให้เช่าก็จะได้ค่าเช่าไม่เกิน เดือนละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1543 และบ้านเลขที่ 165 ของโจทก์และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินและบ้านของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารได้ออกจากบ้านและที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 317/2543 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ จำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นจำเลย ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ท้ายฟ้อง ซึ่งแสดงตำแหน่งที่ดินว่าอยู่ที่ใด มีเนื้อที่เท่าใด แต่ละด้านจดที่ดินประเภทใด เลขที่ดินใด และบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในบ้านเลขที่ 165 หมู่ที่ 1 ตำบลนาวง อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทดังกล่าว โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยดังนี้ เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างอาศัยอยู่เป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ส่วนรายละเอียดที่ว่าบ้านและที่ดินพิพาทมีความกว้างยาวแต่ละด้านอย่างไร แต่ละด้านจดที่ดินของใครบ้าง และจำเลยทั้งสองอาศัยในที่ดินตรงไหน โดยอาศัยอยู่ในที่ดินบางส่วนหรือทั้งแปลง และโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินเมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์สามารถนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณาได้ หาจำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้องไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายสมภาสหรือภาณุวิชญ์ ผู้ถือสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งนายสมภาสมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์และไม่ทราบถึงการบังคับคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า แม้นายสมภาสและจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทร่วมกันและเป็นผู้จำนองที่ดินและบ้านพิพาทแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร่วมกัน แต่นายสมภาสและจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วน โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 317/2543 ของศาลชั้นต้น จึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดทรัพย์ทั้งแปลงได้ นายสมภาสซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิเพียงร้องขอให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดตามส่วนของตนเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 เมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาจากการขายทอดตลาดดังกล่าว โดยติดจำนองกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และโจทก์ได้รับโอนสิทธิครอบครองและสิทธิจำนองมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2545 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ สิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทรวมทั้งสิทธิจำนองกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรของนายสมภาสและจำเลยที่ 2 โอนไปยังโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์แล้วจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล นายสมภาสและจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทอีกต่อไป จำเลยทั้งสองไม่อาจอ้างว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายสมภาสได้ โจทก์ในฐานะผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจึงมีอำนาจฟ้องและบังคับจำเลยทั้งสองออกจากที่ดินและบ้านพิพาทได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายที่ขอให้ศาลมีหมายเรียกนายสมภาสเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ เห็นว่า เมื่อสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทรวมทั้งสิทธิจำนองกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรของนายสมภาสและจำเลยที่ 2 ได้โอนไปยังโจทก์ผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแล้ว นายสมภาสและจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทอีกต่อไป กรณีจึงไม่มีความจำเป็นต้องเรียกนายสมภาสเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share