คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6740/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ขายนาพิพาทให้จำเลยโดยยังมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 53 วรรคแรก ให้ครบถ้วน คือยังไม่ได้แจ้งให้โจทก์ผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือ แสดงความจำนงจะขายนาพิพาท พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อคชก.ตำบล เพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบใน 15 วัน การที่ พ.ขายที่พิพาทให้จำเลยในราคา 670,000 บาท แตกต่างจากที่จำนงจะขายในราคา 1,300,000 บาท และ 1,412,380 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 53 วรรคแรก และวรรคสี่ ทั้งโจทก์ได้มีหนังสือถึงประธาน คชก.ตำบลแสดงความจำนงจะซื้อที่พิพาทต่อประธาน คชก.ตำบลใน 30 วันแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคา 670,000 บาท ได้ และโจทก์ก็ใช้สิทธิซื้อภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่รู้ว่า พ. โอนขายที่พิพาทให้จำเลยตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามสำเนาบันทึกการประชุม คชก.ตำบล จำเลยได้เข้าประชุมฟังคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ด้วย ซึ่งจำเลยก็รับว่าทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลแล้ว เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าไม่ได้รับแจ้งเป็นทางการเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทราบคำวินิจฉัยแล้ว จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบล ต่อ คชก.จังหวัด คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลจึงถึงที่สุด โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางสาวพัชรินทร์ บำรุงศิลป์ เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นที่นา โจทก์เช่าที่ดินดังกล่าวจากนางสาวพัชรินทร์ให้ทำนาตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2531 นางสาวพัชรินทร์ได้จดทะเบียนขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองในราคา 670,000 บาท โดยไม่ได้แจ้งโจทก์ให้ทราบเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก.ตำบลคลองห้าเพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะขอซื้อที่นาดังกล่าวจากจำเลยทั้งสอง โจทก์ใช้สิทธิขอซื้อที่นาดังกล่าวจากจำเลยทั้งสองและโจทก์ได้ทำหนังสือถึงคชก.ตำบลคลองห้า ต่อมา คชก.ตำบลคลองห้ามีมติว่านางสาวพัชรินทร์มิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์ผู้เช่าที่ดินโฉนดดังกล่าวมีสิทธิขอซื้อที่ดินคืนจากจำเลยทั้งสองไม่ได้จำเลยทั้งสองทราบมติของ คชก.ตำบลคลองห้าแล้ว และมติดังกล่าวถึงที่สุด จำเลยทั้งสองจึงต้องขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์และรับเงินค่าที่ดิน 670,000 บาท จากโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2610 ตำบลคลองห้าอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี แก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดิน670,000 บาท ไปจากโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองโดยให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินที่เหลือจากหักค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินค่าภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วมาวางศาลเพื่อชำระให้แก่จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้ซื้อที่พิพาทจากนางสาวพัชรินทร์ในราคา 670,000 บาท โดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตขณะนางสาวพัชรินทร์ขายที่พิพาทแก่จำเลยทั้งสองนางสาวพัชรินทร์แจ้งว่ามิได้ให้บุคคลใดเช่าที่พิพาทและก่อนที่ นางสาวพัชรินทร์จะขายที่พิพาทแก่จำเลยทั้งสองนางสาวพัชรินทร์ได้แจ้งให้โจทก์กับนางอุบล บุญยะรัตน์ภริยาโจทก์ทราบแล้ว อีกทั้งโจทก์กับนางอุบลยังเป็นนายหน้าขายที่พิพาท โดยมีข้อตกลงว่าหากหาผู้ซื้อไม่ได้ โจทก์กับนางอุบลจะซื้อที่พิพาทไว้เองก็ได้ และหากโจทก์กับนางอุบลหาผู้ซื้อไม่ได้และไม่สามารถซื้อที่พิพาทไว้เอง ยินยอมให้นางสาวพัชรินทร์ขายที่พิพาทให้แก่ผู้อื่นได้ แต่เมื่อล่วงเลยกำหนดระยะเวลาตามที่ระบุในหนังสือสัญญานายหน้า โจทก์กับนางอุบลยังหาผู้ซื้อไม่ได้และไม่สามารถซื้อที่พิพาทไว้เองได้ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่านางสาวพัชรินทร์ขายที่พิพาทแก่จำเลยทั้งสองโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อน แต่โจทก์กลับมาฟ้องโดยปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และนางสาวพัชรินทร์ก็ไม่เคยให้โจทก์เช่าที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม นายฉลวย ปั้นจาดจำเลยที่ 6 สามีและเป็นทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนขายที่ดินแก่โจทก์และรับเงินค่าที่ดิน 670,000 บาท ไปจากโจทก์เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์กับจำเลยทั้งสองออกใช้เท่ากันทั้งสองฝ่าย หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมจดทะเบียนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยให้โจทก์นำเงินค่าซื้อที่ดินที่เหลือจากหักค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดมาวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าได้หรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ใช้สิทธิขอซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตเพราะโจทก์ทราบดีว่า จำเลยทั้งสองซื้อที่พิพาทจากนางสาวพัชรินทร์ในราคาไร่ละ100,000 บาท ที่พิพาทมีเนื้อที่ 16 ไร่เศษ เป็นเงิน 1,600,000บาท แต่โจทก์กลับมาขอซื้อที่พิพาทในราคา 670,000 บาท ทั้งที่โจทก์เคยเป็นนายหน้าขายที่พิพาทในราคา 1,300,000 บาท และ1,412,380 บาท ให้ผู้อื่น แต่ขายไม่ได้และโจทก์ไม่สามารถซื้อในราคาดังกล่าวได้ ประกอบกับจำเลยทั้งสองไม่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้า จึงมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้า ต่อ คชก.จังหวัดปทุมธานี คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้า ยังไม่ถึงที่สุด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองได้ให้การรับว่าซื้อที่ดินมาจากนางสาวพัชรินทร์ในราคา 670,000 บาท จำเลยที่ 1 เพิ่งจะมาเบิกความในชั้นศาลว่า ซื้อที่พิพาทในราคาไร่ละ100,000 บาท ไม่มีน้ำหนักฟังได้ แต่การที่ นางสาวพัชรินทร์ขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองนี้ นางสาวพัชรินทร์มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 53 วรรคแรก ให้ครบถ้วน กล่าวคือ ยังไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ โดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายที่นาพิพาท พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก.ตำบลคลองห้าเพื่อแจ้งให้โจทก์ผู้เช่าที่พิพาททำนาทราบภายใน15 วัน ดังนี้การที่ นางสาวพัชรินทร์ขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองในราคา 670,000 บาท แตกต่างไปจากที่จำนงจะขายในราคา1,300,000 บาท และ 1,412,380 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 53 วรรคแรก และวรรคสี่ ทั้งโจทก์ได้มีหนังสือถึงประธานคชก.ตำบลคลองห้า แสดงความจำนงจะซื้อที่พิพาทเป็นหนังสือต่อประธาน คชก.ตำบลคลองห้าภายในกำหนด 30 วันแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิซื้อที่พิพาทจากจำเลยทั้งสองในราคา 670,000 บาท ได้และโจทก์ก็ใช้สิทธิซื้อภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่รู้ว่านางสาวพัชรินทร์โอนขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งสอง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว พฤติการณ์ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย หาใช่ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า ยังไม่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าเป็นทางการ จึงไม่ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้า ต่อ คชก.จังหวัดปทุมธานี คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลคลองห้าจึงยังไม่ถึงที่สุดนั้น ตามสำเนาบันทึกการประชุม คชก.ตำบลคลองห้าว่า จำเลยที่ 1 ได้เข้าประชุมฟังคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าด้วย ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็รับว่าได้ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าในวันประชุมดังกล่าวเพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่ายังไม่ได้รับแจ้งเป็นทางการเท่านั้น และตามคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ภริยาของจำเลยที่ 1 ก็ได้ความว่าจำเลยที่ 1 จัดการใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาท โดยจำเลยที่ 1 ดำเนินการในวันที่จำเลยที่ 1 ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้า จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2ได้ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าเช่นเดียวกัน นอกจากนี้จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองไม่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้า หรือคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลคลองห้าไม่ถึงที่สุดแต่ประการใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าแล้วเมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าต่อ คชก.จังหวัดปทุมธานี คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าจึงเป็นที่สุด โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลคลองห้าได้
พิพากษายืน

Share