คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6735/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นจะระบุว่าจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นพิพาท ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1141 แต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นเพียงข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่ไม่เด็ดขาด คู่ความมีสิทธินำสืบหักล้างได้ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องคำให้การแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่สืบพยานโจทก์ต่อไปและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานและอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้โจทก์ชนะคดี โดยอุทธรณ์มาในฉบับเดียวกัน แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะในปัญหาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานโดยเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ เห็นสมควรให้ฟังพยานหลักฐานโจทก์จำเลยเสียก่อนโดยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ขอให้โจทก์ชนะคดี และพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่การสืบพยานโจทก์ต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี แม้โจทก์อุทธรณ์ขอให้โจทก์ชนะคดีมาด้วยก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็ไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาตามคำฟ้องและคำให้การ เพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ จึงเป็นกรณีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งตามตาราง 1 ข้อ (2) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. กำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแก้ไขทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือบัญชีผู้ถือหุ้นของบริษัทโรแยลปริ๊นส์รัชดา จำกัด ทะเบียนเลขที่ 9044/2533 ที่ระบุจำนวนหุ้นที่จำเลยถือ 153,000 หุ้น เป็น 93,000 หุ้น และแก้ไขจำนวนหุ้นที่โจทก์ถือจำนวน 99,000 หุ้น เป็น 159,000 หุ้น หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
วันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องคำให้การแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่การสืบพยานโจทก์ต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์ถือหุ้นของบริษัทโรแยลปริ๊นส์รัชดา จำกัด จำนวน 60,000 หุ้น จำเลยถือหุ้นจำนวน 93,000 หุ้น ต่อมาผู้ถือหุ้นอื่นของบริษัทรวม 4 คน ได้ขายหุ้นให้แก่โจทก์จำนวน 99,000 หุ้น โดยทำสัญญาเป็นหนังสือ และโจทก์ได้ขายหุ้นจำนวน 60,000 บาท ให้แก่จำเลยโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือโอนหุ้นและไม่มีการชำระราคา การซื้อขายหุ้นจึงเป็นโมฆะ จำเลยดำเนินการแก้ไขทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นว่าจำเลยถือหุ้นจำนวน 153,000 หุ้น ส่วนโจทก์ถือหุ้นจำนวน 99,000 หุ้น โดยไม่มีสิทธิกระทำการดังกล่าว จำเลยให้การปฏิเสธว่า จำเลยไม่เคยซื้อหรือรับโอนหุ้นของบริษัทโรแยลปริ๊นส์รัชดา จำกัด จากโจทก์ จำเลยซื้อและรับโอนหุ้นจำนวน 60,000 หุ้น มาจากนายสุภาตและนายอุดม ดังนี้ ข้อเท็จจริงยังโต้เถียงกันอยู่ว่า จำเลยซื้อหุ้นจากโจทก์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือโอนหุ้นและไม่มีการชำระราคา ทำให้การซื้อขายหุ้นระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะตามฟ้อง หรือจำเลยซื้อหุ้นจากบุคคลอื่นตามคำให้การ แม้ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นจะระบุว่าจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นพิพาท ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1141 ที่บัญญัติว่า “สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องในข้อกระทงความบรรดาที่กฎหมายบังคับ หรือให้อำนาจให้เอาลงในทะเบียนนั้น” แต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นเพียงข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่ไม่เด็ดขาด คู่ความมีสิทธินำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การจึงยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่สืบพยานโจทก์ต่อไปและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจึงชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ถูกต้องเสียก่อนจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานและอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้โจทก์ชนะคดี โดยอุทธรณ์มาในฉบับเดียวกัน แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะในปัญหาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานโดยเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ เห็นสมควรให้ฟังพยานหลักฐานโจทก์จำเลยเสียก่อน โดยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ขอให้โจทก์ชนะคดี และพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่การสืบพยานโจทก์ต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี แม้โจทก์อุทธรณ์ขอให้โจทก์ชนะคดีมาด้วยก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็ไม่วินิจฉัยในเนื้อหาตามคำฟ้องและคำให้การ เพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นกรณีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งตามตาราง 1 ข้อ (2) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. กำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 200 บาท นั้น ถูกต้องแล้ว สำหรับค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า เมื่อมีการย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีแล้ว คดีย่อมอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลชั้นต้นอีกครั้ง ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาสั่งให้คู่ความชำระค่าขึ้นศาลให้ถูกต้องได้ ไม่จำเป็นที่ศาลอุทธรณ์จะก้าวล่วงเข้าไปสั่งเรื่องค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ไม่สั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นก่อนนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share