คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6732/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ศาลชั้นต้นไม่จำต้องมีคำสั่งให้ปฏิบัติก่อน ดังนั้นในชั้นตรวจอุทธรณ์ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์เสียทันที แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์เพื่อสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์นั้นเสียโดยไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทิ้งอุทธรณ์โดยมิได้สั่งยกอุทธรณ์ จึงมิชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงต้องยกเสีย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 12 มิถุนายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถบดล้อยาง หมายเลขเครื่อง ดี.เอ. 120 – 536138 หมายเลขรถ ที.เอส. 9 – 14917 คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 140,000 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงินวันละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแก่โจทก์ครบโดยให้มีกำหนดเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 สำเนาให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2542 มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์ ต่อมาเจ้าหน้าที่รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดธัญบุรี แต่จำเลยมิได้มาติดต่อเจ้าหน้าที่นำหมายข้ามเขตเพื่อส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้นำส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งอุทธรณ์ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 ประกอบ มาตรา 174 (2) ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่า ในชั้นที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 โดยที่ศาลชั้นต้นไม่จำต้องมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิบัติก่อน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์เช่นนี้ ในชั้นตรวจอุทธรณ์ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียทันที แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์เพื่อสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์นั้นเสียโดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทิ้งอุทธรณ์โดยมิได้สั่งยกอุทธรณ์ จึงมิชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลฎีกาจึงต้องยกเสียและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share